ประเทศไทยรั้งอันดับที่ 52 ของโลกด้านรัฐบาลดิจิทัล ตามดัชนีรัฐบาลดิจิทัล (E-Government Development Index: EGDI) แม้จะมีความก้าวหน้า แต่บริการออนไลน์ยังคงเป็นจุดอ่อน จากรายงานสำรวจความพร้อมรัฐบาลดิจิทัล ปี 2567 พบว่า หน่วยงานรัฐที่สามารถให้บริการแบบรวมศูนย์โดย ไม่ต้องเรียกสำเนาบัตรประชาชนหรือเอกสารซ้ำซ้อน มีเพียง ร้อยละ 40.56 สะท้อนข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของระบบราชการดิจิทัลไทย
ปัญหาหลักที่ถึงแม้จะมีรัฐบาลดิจิทัลแล้วแต่รัฐไทยยังให้บริการได้ไม่มีประสิทธิภาพ เกิดจาก:
1. พัฒนาการให้บริการประชาชน (Digital for Citizen-centric Services)
• บริการทั้งหมดจบที่แอปเดียว: รวบรวมบริการรัฐไม่น้อยกว่ากว่า 90% ไว้ที่แอปฯ "ทางรัฐ" (บุคคล) และ BizPortal (ธุรกิจ) อำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการภาครัฐผ่านมือถือได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้โดยอัตโนมัติ ลดความจำเป็นในการยื่นเอกสารราชการซ้ำซ้อน
• สร้างมาตรฐานบริการดิจิทัล: สร้างมาตรฐานการออกแบบเว็บไซต์และแอปฯ ของรัฐ (อ้างอิง UX4G ของอินเดีย และ GOV.UK ของสหราชอาณาจักร) ให้ใช้งานง่ายเหมือนกันทุกหน่วยงาน
• ต่อยอดระบบยืนยันตัวตนกลาง (Digital ID): เช่น ThaiD/ทางรัฐไอดี เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการทั้งภาครัฐและเอกชนโดยสะดวกและมีมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งาน
• ให้สวัสดิการเชิงรุกแบบดิจิทัล: รับสวัสดิการ (เบี้ยผู้สูงอายุ/เด็กเล็ก) ทันทีเมื่อคุณสมบัติครบ โดยไม่ต้องลงทะเบียน
• ระบบพิกัดบ้านดิจิทัล: พัฒนาพิกัดบ้านแห่งชาติแบบดิจิทัล (Place ID) เพื่อการช่วยเหลือภัยพิบัติและเยียวยาที่แม่นยำรายหลังคาเรือน
2. พัฒนาการทำงานด้วยระบบดิจิทัล (Digital for Intelligent Processes)
• เพิ่มประสิทธิภาพตรวจจับทุจริต: พัฒนาระบบ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในหน่วยงานรัฐ เพิ่มการบังคับใช้กฎหมาย และลดการใช้ดุลพินิจเรียกรับผลประโยชน์ เช่น
การจัดทำเอกสารอัตโนมัติ: ระบบ AI ช่วยทำเอกสารราชการอัตโนมัติ บนระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Saraban) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดภาระการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
ปรับกระบวนงานเป็นอัตโนมัติ: เปลี่ยนกระบวนงานภาครัฐซ้ำซาก ให้เป็นอัตโนมัติ (Autonomous Government) เช่น AI ช่วยตรวจแบบก่อสร้าง, AI ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของคำขอใบอนุญาต
การตรวจจับทุจริต: ระบบ AI Red Flags/Fraud Detection แจ้งเตือนเสี่ยงทุจริต งบประมาณ และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
• เปลี่ยนสู่รัฐไร้กระดาษ: เปลี่ยนระบบ “รัฐกระดาษ (Paper State)” ในปัจจุบัน ที่ขับเคลื่อนด้วยเอกสาร ระบบราชการ และการตัดสินใจด้วยดุลพินิจเป็นส่วนใหญ่ให้เป็น “รัฐไร้กระดาษ (Paperless Government)” เปลี่ยนเอกสารราชการให้เป็นรูปแบบดิจิทัลเป็นหลักก่อน
• การเชื่อมโยงข้อมูลข้ามระบบ: ยกเลิกการคีย์ข้อมูลซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น เปิดเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างระบบ New e-Budgeting, e-GP, New GFMIS, LHR และ New e-LAAS
• ลดการคีย์ข้อมูลของท้องถิ่น: แก้ไขระบบ New e-LAAS สำหรับท้องถิ่นให้สามารถใช้งานได้สะดวกและเชื่อมข้อมูลกับทุกระบบของท้องถิ่น เช่น LHR, LTAX ไม่ต้องคีย์ข้อมูลซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น
• การเปิดเผยโค้ดซอฟต์แวร์สาธารณะ: ซอฟต์แวร์ภาครัฐที่ถูกพัฒนาโดยใช้งบประมาณของประเทศ จะต้องเปิดเป็น Public Code ก่อนเสมอ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะเดียวกันไปใช้ต่อยอดได้ ประหยัดงบประมาณประเทศ
• สร้างพอร์ทัลกลางให้นักพัฒนานำไปต่อยอด: สร้าง"ศูนย์รวมเครื่องมือเชื่อมต่อระบบรัฐ" (Government Developer Portal) ที่เป็นศูนย์กลางหรือเว็บไซต์ที่รวบรวม "เครื่องมือเชื่อมต่อทางดิจิทัล" (API) ของหน่วยงานรัฐมาไว้ที่เดียว เพื่อให้โปรแกรมเมอร์หรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์นำไปต่อยอดได้
• เปิดเผยข้อมูลกลาง: รัฐเปิดเผยข้อมูลกลาง (Master Data) สำคัญในรูปแบบที่สามารถนำไปประมวลผลได้ (Machine readable) และช่องทางเชื่อมต่อข้อมูล (API) ให้หน่วยงานรัฐใช้อ้างอิงได้เหมือนกัน และเอกชนสามารถต่อยอดได้
รัฐเพื่อประชาชน (Digital for Citizen-centric)
เพื่อให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง รัฐจะปรับเปลี่ยนการทำงานผ่าน 5 กลไกหลัก ดังนี้:
• เลิกสร้างแอปซ้ำซ้อน: ให้อำนาจ DGA ร่วมกับสำนักงบประมาณ ตรวจสอบการพัฒนาระบบดิจิทัลตั้งแต่ต้น หากระบบใดทำหน้าที่ซ้ำกันจะถูกยกระดับเป็น "แพลตฟอร์มกลาง" ใช้ TOR และสถาปัตยกรรมเดียวกัน เพื่อลดการสิ้นเปลืองและเชื่อมต่อข้อมูลได้ทันที
• มาตรฐานการออกแบบแอปรัฐ (Government Design System): จัด UX Workshop ระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ เพื่อสร้างมาตรฐานกลาง (Design System) ทั้งรูปแบบ หน้าจอ ภาษา ขั้นตอนการให้บริการ และการออกแบบที่ลดภาระประชาชน โดยผูกเข้ากับการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ทุกแอปฯ ของรัฐมีมาตรฐานเดียวกันโดยอัตโนมัติ
• ระบบพิสูจน์ตัวตนเดียว (One Government Digital ID): บูรณาการระบบ Digital ID ให้เหลือเครื่องมือหลักเพียงชุดเดียว โดยบูรณาการบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น DGA, ETDA และกรมการปกครอง เพื่อลดความซ้ำซ้อนของแพลตฟอร์มเดิม และสร้างภาพจำเดียวให้ประชาชนใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน (One Government Digital ID) โดยกำหนดให้บริการดิจิทัลใหม่ของรัฐต้องเชื่อมต่อผ่านระบบ Digital ID กลางนี้เป็นหลัก
• คลังสิทธิประชาชนด้วย AI (Welfare Knowledge Base): รวบรวมสวัสดิการทุกหน่วยงานมาไว้ที่เดียวในรูปแบบที่เครื่องอ่านได้ และใช้ AI (RAG) ช่วยตอบคำถามสิทธิประโยชน์เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย โดยรัฐจะเป็นฝ่าย "ค้นหาและบอกสิทธิ" แทนการให้ประชาชนต้องไปไล่หาเอง
• พิกัดบ้านดิจิทัล (PlaceID): พัฒนาฐานข้อมูลพิกัดบ้านและสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศ ผูกกับรหัส PlaceID เพียงตัวเดียว และจัดทำเป็นฐานข้อมูลกลางที่เปิดให้ใช้งานร่วมกัน ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมการปกครอง (ใช้กลไกระดับหมู่บ้านในการจัดเก็บข้อมูล), ไปรษณีย์ไทย, การไฟฟ้า และการประปา รวมถึงเอกชนที่มีข้อมูล เมื่อเกิดเหตุ เช่น อุทกภัย ประชาชนเพียงกรอกรหัส PlaceID หน่วยงานรัฐจะสามารถระบุตำแหน่งและเข้าช่วยเหลือได้ทันที และทุกแพลตฟอร์มภาครัฐที่ต้องกรอกที่อยู่สามารถเชื่อมต่อผ่าน API โดยใช้ PlaceID เพียงตัวเดียว
พัฒนาการทำงานด้วยระบบดิจิทัล (Digital for Intelligent Processes)
ปรับปรุงการทำงานภายในภาครัฐให้มีความฉลาด โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูง โดย
• มาตรฐานข้อมูลภาครัฐ (Government Data Standard): ออกมติ ครม. รับรองมาตรฐานข้อมูลที่เครื่องอ่านได้ (Machine-readable) เช่น ทะเบียนประวัติ หรือข้อมูลเซ็นเซอร์เมือง เพื่อเปิดให้เอกชนนำไปพัฒนาบริการแข่งขันกันได้ ลดการผูกขาดข้อมูลเฉพาะหน่วยงาน
• รัฐไร้กระดาษ (e-Office): ออกมติ ครม. กำหนดให้ทุกหน่วยงานเปลี่ยนมาใช้ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ภายในปีแรก โดยเลือกซอฟต์แวร์จากบัญชีบริการดิจิทัลที่ได้มาตรฐานจาก DEPA และ DGA เพื่อให้ทุกหน่วยงาน เชื่อมต่อข้อมูลกันได้แบบไร้รอยต่อ
• การแลกเปลี่ยนข้อมูลกลาง (GDX): ใช้ระบบ “โครงข่ายระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลกลางของรัฐ (Government Data Exchange Center: GDX)” เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลหลัก (Master Data) ระหว่างหน่วยงาน ตามประกาศที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลได้ประกาศไว้ หากหน่วยงานใดมีข้อมูลแล้ว หน่วยงานอื่นต้องเรียกใช้ได้ทันที ยุติการขอสำเนาเอกสารและการจัดเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน
• ระบบขออนุญาตก่อสร้างออนไลน์ (Pre-process): แปลงกฎหมายผังเมืองและข้อบัญญัติท้องถิ่น ให้เป็นระบบ Logic มาตรฐาน (Rule / Decision Tree) ที่ระบบสามารถตรวจสอบได้อัตโนมัติก่อนการยื่นคำขอจริง ภาครัฐทำหน้าที่กำหนดและรับรองกติกา (Regulatory Logic) ในรูปแบบ Machine-readable และเปิดให้เชื่อมต่อผ่าน API ขณะที่ภาคเอกชนสามารถพัฒนาเครื่องมือช่วยออกแบบ ตรวจสอบแบบเบื้องต้น และประเมินความเป็นไปได้ล่วงหน้า ระบบจะแจ้งผลว่า “ยื่นได้ / ต้องแก้ไข / ไม่เข้าเงื่อนไข” ตั้งแต่ต้น ลดการตีกลับ ลดการใช้ดุลพินิจ และทำให้ขั้นตอนอนุญาตจริงของภาครัฐเหลือเพียงการตรวจยืนยันและออกใบอนุญาต
• เปิดข้อมูลงบประมาณท้องถิ่น (Open e-LAAS): เปิดข้อมูลงบประมาณท้องถิ่นผ่าน Open API เพื่อให้ประชาชนและสื่อสามารถนำไปทำ Dashboard ติดตามการใช้งบได้ง่าย แทนการไล่อ่านไฟล์ PDF ของแต่ละหน่วยงาน
• รัฐเป็น Open Source (Public Code): กำหนดให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยงบประมาณของรัฐ (ยกเว้นด้านความมั่นคง) ต้องเผยแพร่เป็น Open Source และเก็บไว้ในคลังกลาง (Repository) แทนการส่งมอบแบบปิดเช่นส่งมอบเป็นแผ่นซีดี หรือไฟล์เฉพาะผู้รับจ้าง เพื่อให้ตรวจสอบได้ พัฒนาต่อยอดได้ และและทำให้การดิจิทัลของรัฐเป็นระบบเดียว เชื่อมโยงกันได้ และยั่งยืนในระยะยาว