ปฏิรูปกฎระเบียบภาครัฐ (Regulatory Reform) เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทย

เปลี่ยน “รัฐอุปสรรค” เป็น “รัฐสนับสนุน” ทลายกำแพงกฎหมายที่ล้าสมัย เพื่อโอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชน

ปฏิรูปกฎระเบียบภาครัฐ (Regulatory Reform) เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทย

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว โครงสร้างกฎหมายไทยเปรียบเสมือน "สนิม" ที่เกาะกินกลไกเศรษฐกิจ นโยบายนี้ไม่ใช่แค่การลดเอกสาร แต่คือการผ่าตัดโครงสร้างครั้งใหญ่เพื่อลดต้นทุนแฝง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ำ เปิดทางให้ SMEs และคนตัวเล็กได้เติบโต

ปัญหาของกฎระเบียบไทย คือ "โซ่ตรวน" ที่ฉุดรั้งประเทศไว้ด้วย 4 สาเหตุหลัก

1. ระเบียบล้าสมัยขัดขวางโลกยุคใหม่

ไทยมีกฎหมายและระเบียบจำนวนมาก หลายฉบับใช้มานานกว่า 30–60 ปี เขียนขึ้นในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ซึ่งไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนเริ่มต้นธุรกิจสูงเกินจริง สร้างความไม่แน่นอนให้นักลงทุน และเป็นภาระหนักอึ้งของ SMEs

2. ระบบ "ต้องขออนุญาตก่อนทำ" (Positive Licensing)

แนวคิดราชการไทยคือ "ห้ามทำทุกอย่าง จนกว่ารัฐจะอนุญาต" แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ทำให้กระบวนการล่าช้าและเปิดช่องให้ใช้ดุลพินิจ ในขณะที่คู่แข่งอย่าง เวียดนาม หรือ สิงคโปร์ ใช้ระบบ "ทำได้เลย ยกเว้นสิ่งที่ห้าม" ซึ่งคล่องตัวกว่ามาก

3. กฎหมายไม่มีวันหมดอายุ

เราขาดระบบทบทวนกฎหมาย (Mandatory Review) ทำให้กฎที่ไม่จำเป็น ซ้ำซ้อน และล้าสมัย ยังคงบังคับใช้ต่อไปเรื่อยๆ กลายเป็นขยะทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับ

4. ความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากกฎระเบียบ

กฎที่ซับซ้อนทำร้ายประชาชนรายย่อย เช่น เกษตรกรและผู้ค้าตัวเล็กที่เข้าถึงโอกาสได้ยาก หรือผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ไม่สามารถขยายธุรกิจ (Scale) ออกนอกพื้นที่ได้ นำไปสู่การกระจุกตัวของการลงทุน 

การปฏิรูปกฎหมายจึงไม่ใช่เพียง “การลดเอกสาร” แต่คือหัวใจสำคัญของการเพิ่มผลิตภาพ และลดความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจ

เราจะทำอะไร (WHAT)

หากได้เป็นรัฐบาล เราจะผลักดัน 5 เรื่องสำคัญทันที:

1. สังคายนากฎหมาย (Regulatory Guillotine)

มุ่งเน้นการทบทวนกฎระเบียบภายใต้โครงสร้างที่มีอยู่เดิม โดยให้

  • แต่ละกระทรวงสำรวจและจัดหมวดหมู่กฎหมาย เพื่อระบุรายการที่ล้าสมัยหรือซ้ำซ้อน 

  • จากนั้นดำเนินการยกเลิกหรือควบรวมกฎหมายเหล่านั้นและปรับปรุงให้ทันสมัย 

  • ตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีแรก ต้องลดจำนวนใบอนุญาตสำหรับกิจการความเสี่ยงต่ำอย่างน้อย 20–30% และปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคอย่างน้อย 100 ฉบับ

2. การใช้ระบบกำกับดูแลตามความเสี่ยง (Risk-Based Regulation)

จากเดิมที่ต้องขออนุญาตทุกอย่าง รัฐบาลพรรคประชาชนจะเปลี่ยนรูปแบบการกำกับดูแลโดยจำแนกตามระดับความเสี่ยงของธุรกิจโดย:

• ความเสี่ยงต่ำ (Low Risk): เปลี่ยนเป็นระบบ "แจ้งแล้วทำได้เลย" โดยไม่ต้องรอขออนุญาต

• ความเสี่ยงปานกลาง (Medium Risk): ใช้ระบบอนุญาตแบบอัตโนมัติ ถ้าคำขอและเอกสารทั้งหมดของผู้ประกอบการ ตรงตามเงื่อนไขทางกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ชัดเจนทุกประการ ระบบจะสามารถอนุมัติหรือออกใบอนุญาตได้ทันที โดยไม่ต้องส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่พิจารณา

• ความเสี่ยงสูง (High Risk): ยังคงไว้ซึ่งการตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัยที่ชัดเจน

3. Digital-by-Default

ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายด้วยเทคโนโลยี ให้ทุกคำขออนุญาตใช้แอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" เป็นประตูเดียวเพื่อยื่นคำขอออนไลน์ ติดตามสถานะได้แบบ Real-time ลดการใช้กระดาษและการเดินทาง เชื่อมโยงข้อมูล API ระหว่างหน่วยงาน

4. ตรวจสอบความคุ้มค่าของกฎหมาย (Serious RIA)

กฎหมายใหม่ทุกฉบับต้องผ่านกระบวนการ RIA ที่ได้มาตรฐาน เพื่อประเมินต้นทุนและผลประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง รวมถึงผลกระทบต่อการแข่งขัน นวัตกรรม และ SMEs เพื่อแก้ปัญหาปัจจุบันที่การทำ RIA มักทำโดยหน่วยงานเจ้าของกฎหมายเอง อาจขาดความเป็นกลางทางวิชาการ รวมไปถึงกฎหมายที่ยื่นโดยส.ส. และภาคประชาชน ที่ปัจจุบันไม่มีเจ้าภาพชัดเจน ใช้วิธีเวียนถามความเห็นจากหน่วยงานต่างๆ 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

นโยบายดีแค่ไหน ภายใต้โครงสร้างราชการปัจจุบัน ถ้ากลไกการทำงานไม่ดี ก็ทำไม่สำเร็จ เราจึงวางระบบการทำงานแบบใหม่โดย:

1. มีเจ้าภาพชัดเจน รับผิดชอบโดยตรง

เลิกตั้งคณะกรรมการลอยๆ แต่กำหนดให้มี 1 รัฐมนตรี + เจ้าภาพรายประเด็น รับผิดชอบการแก้กฎหมายในแต่ละเรื่องโดยตรง

2. กฎหมายต้องมีวันหมดอายุ (Sunset Clause)

กำหนดให้กฎหมายทุกฉบับต้องถูกทบทวนภายใน 3–5 ปี หากไม่ทบทวนหรือไม่มีเหตุผลรองรับ ให้ถือว่ากฎหมายนั้นสิ้นผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติ

3. ฟังเสียงประชาชน (Bottom-up Approach)

ข้อเสนอในการทบทวนกฎหมายควรมาจากภาคประชาชนและภาคเอกชน ไม่ควรปล่อยให้หน่วยงานรัฐเป็นผู้เสนอหรือตัดสินใจเองฝ่ายเดียว เพื่อป้องกันปัญหาการ "หวงอำนาจ" หรือหน่วยงานไม่ยินยอมแก้ไขกฎหมายของตนเองตามผลการศึกษาทางวิชาการ

4. มุ่งสู่การออกแบบกฎระเบียบที่ดี (Regulatory Design)

งานปฏิรูปไม่ได้สิ้นสุดแค่การยกเลิกกฎหมาย แต่เป้าหมายสูงสุดคือการออกแบบกฎระเบียบใหม่ที่ "เข้าใจง่าย" และ "ปฏิบัติตามได้ง่าย" ในทุกขั้นตอน ซึ่งต้องอาศัยโครงสร้างข้อมูล ระบบดิจิทัล และที่สำคัญคือการปรับเปลี่ยนทัศนคติ (Mindset) ของข้าราชการ ให้มุ่งเน้นการให้บริการ (Service) มากกว่าการเป็นเพียงผู้กำกับดูแล (Regulator) เพียงอย่างเดียว