ปัจจุบัน ประเทศไทยมีรัฐวิสาหกิจรวม 52 แห่ง (ไม่รวมบริษัทที่รัฐถือหุ้นไม่เกิน 50%) มีรายได้รวมกันมหาศาลเกินกว่า 5 ล้านล้านบาทต่อปี แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดจะพบ 3 ปัญหาใหญ่ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
1. ปัญหาการผูกขาดและสร้างต้นทุนสูง
รัฐวิสาหกิจบางแห่งมีอำนาจผูกขาดตามกฎหมาย ทำให้สามารถทำกำไรได้มากโดยไม่มีคู่แข่งมาแข่งขัน เมื่อไม่มีคู่แข่ง ก็ไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนา ส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค (เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ) ของประชาชนสูงเกินจำเป็น
2. ปัญหาขาดทุนเรื้อรัง
รัฐวิสาหกิจอีกหลายแห่งไม่สามารถปรับตัวและแข่งขันกับเอกชนรายอื่นได้ ขาดประสิทธิภาพในการบริหารงาน จนประสบภาวะขาดทุนมหาศาลอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นภาระด้านงบประมาณที่รัฐบาลต้องใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าไปแบกรับ
3. ปัญหาโครงสร้างเก่าแก่ไม่ทันยุค ฝ่ายการเมืองเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์
รัฐวิสาหกิจหลายแห่งก่อตั้งมานานหลายสิบปี แต่โครงสร้างและภารกิจไม่เคยถูกปรับปรุงให้เข้ากับบริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ความไม่กล้าหาญทางการเมืองของรัฐบาลในอดีต ทำให้แทนที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา กลับเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองจากรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น
หากได้เป็นรัฐบาล เราจะผลักดัน 3 เรื่องสำคัญทันที
1. ทบทวนบทบาท
ตรวจสอบความจำเป็นในการดำรงอยู่ของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งอย่างรอบด้าน หากพบว่ามีทางเลือกอื่นที่ประหยัดกว่า หรือมีประสิทธิภาพมากกว่า จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้
ยุบ แล้วโอนถ่ายองค์กร ทรัพย์สิน และภารกิจไปยังหน่วยงานที่เหมาะสมกว่า (เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
ยกเลิก โดยยุติบางภารกิจ/โครงการ หรือยกเลิกกฎหมาย/ข้อบังคับ ที่ให้สิทธิพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจนั้น
แปลงสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นองค์กรมหาชน
2. ยกระดับการบริหาร
สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ยังมีความจำเป็น จะมีการปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการให้มีมาตรฐานเดียวกับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีประสิทธิภาพในการบริหารงานทัดเทียมกับคู่แข่งในตลาด
3. จัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ (Super Holding Company)
เปรียบเสมือน “บริษัทแม่” ที่จะทำหน้าที่เป็น "เจ้าของ" ของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดแทนกระทรวงการคลัง เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นแนวทางที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในหลายประเทศ เช่น Temasek ของสิงคโปร์ และ Khazanah ของมาเลเซีย
โดยต้องดำเนินการ
ปรับเปลี่ยนสถานะของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งให้อยู่ในรูปแบบ “บริษัทจำกัด” ที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นชัดเจน
ดึงผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารธุรกิจระดับสูงเข้ามาดูแลการบริหารทิศทางโดยรวมของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด
1. ระยะสั้น (Short-Term)
ใช้กลไกของ "คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.)" ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่ ร่วมกับอำนาจของฝ่ายบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี มาจัดระเบียบรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน ทั้งการยุบเลิกรัฐวิสาหกิจ ปรับรูปแบบ และกฎเกณฑ์การกำกับดูแลกิจการ รวมถึงตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะเจาะจงของรัฐวิสาหกิจบางรายที่ประสบปัญหาขาดทุนเรื้อรัง
2. ระยะกลาง (Mid-Term)
แก้ไข พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562
ปรับโครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ลดสัดส่วนตัวแทนจากฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระในการดำเนินงาน ภายใต้กรอบนโยบายภาพใหญ่ของรัฐบาล
จัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ (Super Holding Company) ให้เป็นองค์กรใหม่ที่แยกตัวออกจากกระทรวงการคลังอย่างชัดเจน ทำหน้าที่เป็นตัวแทนผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของกระทรวงการคลังเดิม
3. ระยะยาว (Long-Term)
เพื่อให้องค์กรดำเนินงานอย่างคล่องตัว เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารให้ทัดเทียมกับบริษัทเอกชนชั้นนำ สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
พิจารณาลดสัดส่วนการถือหุ้นของรัฐในรัฐวิสาหกิจบางแห่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง
พิจารณานำรัฐวิสาหกิจบางแห่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มช่องทางการระดมทุน และสามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ