ปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

อุดรูรั่ว ปิดช่องโหว่ทุจริต ลดวิธีเจาะจง บังคับเปิดข้อมูลหลังเซ็นสัญญา และใช้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโครงการใหญ่เพื่อประหยัดภาษีหมื่นล้าน

ปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

  • มูลค่ามหาศาลต่อเศรษฐกิจ: ในปีงบประมาณ 2568 วงเงินจัดซื้อจัดจ้างมีมูลค่าสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 37% ของงบประมาณแผ่นดินปี 2568 หากบริหารจัดการได้ดีจะสร้างประโยชน์กลับคืนสู่สังคมได้อย่างมหาศาล

  • ต้นทุนค่าเสียโอกาสจากช่องโหว่ทางกฎหมาย: ระบบปัจจุบันมีความเสี่ยงสูงต่อการทุจริตและการผูกขาด ทำให้งบประมาณรั่วไหลไปกับราคาสินค้าที่แพงเกินจริงหรือโครงการที่ไม่ได้มาตรฐาน

  • ภารกิจเร่งด่วนทางเศรษฐกิจ: การปฏิรูปครั้งนี้มุ่งเน้นการดึงทรัพยากรที่สูญเสียไปจากความไร้ประสิทธิภาพกลับคืนมา เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศและยกระดับธรรมาภิบาลทางการคลังมากกว่าแค่การปราบทุจริตเพียงอย่างเดียว

เราจะทำอะไร (WHAT)

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว พรรคประชาชนเสนอแนวทางการปฏิรูปโดยมุ่งเน้นการ "ปิดช่องโหว่" และ "ลดต้นทุนแฝง" ผ่าน 4 ข้อเสนอหลัก ได้แก่

1. ลดการจัดซื้อแบบเจาะจงและขจัดสิทธิพิเศษรัฐวิสาหกิจ: ปัจจุบันกฎระเบียบที่อนุญาตให้หน่วยงานรัฐจัดซื้อโดยวิธีนี้สำหรับสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 500,000 บาท และการให้สิทธิพิเศษซื้อตรงจากรัฐวิสาหกิจโดยไม่ต้องแข่งขัน ถือเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่บั่นทอนกลไกตลาดและเปิดโอกาสให้เกิดการใช้จ่ายที่สูงเกินจริง ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายที่ไม่ผ่านการแข่งขันสูงถึง 444,000 ล้านบาทต่อปี

2. ลดต้นทุนแฝงโดย "ยกเลิกหลักประกันซอง": กฎระเบียบที่บังคับให้เอกชนต้องวางเงินสดหรือหลักทรัพย์เพื่อค้ำประกันซองประมูล (Bid Bond) ทำให้เงินทุนหมุนเวียนของภาคธุรกิจหายไปจากระบบเศรษฐกิจถึงปีละ 85,000 ล้านบาท เงินจำนวนนี้กลายเป็นต้นทุนแฝงที่เอกชนบวกกลับเข้ามาในราคาสินค้าที่ขายให้รัฐ ซึ่งคิดเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจประมาณ 5,700 ล้านบาท

3.เปิดข้อมูลต่อหลังเซ็นสัญญาแล้ว: การทุจริตในงานก่อสร้างมักเกิดขึ้น "หลังเซ็นสัญญา" เช่น การแอบแก้ไขสัญญา การใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการเบิกเงินแต่งานไม่คืบหน้า เนื่องจากข้อมูลในระยะนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อการตรวจสอบ

4. 100 ล้านบาทขึ้นไปต้องตรวจสอบจากคนนอก: สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท  ซึ่งเสี่ยงต่อการล็อกสเปกหรือการทุจริตเชิงนโยบาย  แต่ปัจจุบันยังขาดกลไกการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่เป็นกลาง เนื่องจากระบบการใช้ "ข้อตกลงคุณธรรม" (Integrity Pact) ยังคงเป็นแบบสมัครใจ

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

เพื่อให้การปฏิรูปเกิดขึ้นจริงและวัดผลได้ เราได้กำหนดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน พร้อมประมาณการงบประมาณที่จะประหยัดได้ ดังนี้:

1. ลดการจัดซื้อแบบเจาะจงและขจัดสิทธิพิเศษรัฐวิสาหกิจ:

ทำอย่างไร?

• เปลี่ยนกฎระเบียบให้สินค้าทั่วไปต้องใช้วิธีเชิญชวนให้ยื่นซองเสนอราคาหรือการแข่งขันราคา (e-bidding) แทนวิธีเฉพาะเจาะจง (อาจยกเว้นกรณีที่มีมูลค่าต่ำมาก เช่น ต่ำกว่า 10,000 บาท) โดยปรับปรุงกฎกระทรวง กําหนดวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง วงเงินการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่ทําข้อตกลง เป็นหนังสือ และวงเงินการจัดซื้อจัดจ้างในการแต่งตั้งผู้ตรวจรับพัสดุ พ.ศ. 2560

• ยกเลิกกฎกระทรวงที่ให้สิทธิหน่วยงานรัฐซื้อของจากรัฐวิสาหกิจได้โดยไม่ต้องประมูล เพื่อให้รัฐวิสาหกิจต้องแข่งขันด้านราคาและคุณภาพกับเอกชน โดยปรับปรุงกฎกระทรวงกำหนดกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจงพ.ศ. 2561 และทบทวนกฎกระทรวงกําหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563

• เร่งพัฒนาระบบตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-shopping) และกรอบข้อตกลงการจัดซื้อรวม (Framework Agreement) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระงานธุรการ

• ผลลัพธ์: คาดว่าจะประหยัดงบประมาณจากการลดต้นทุนของผู้ประกอบการได้ ปีละเกือบ 40,000 ล้านบาทต่อปี

 

2. ยกเลิกหลักประกันซอง :

• แก้ไขระเบียบกระทรวงการคลัง (พ.ศ. 2560) ข้อ 166 เพื่อยกเลิกการวางหลักประกันซอง

• เปลี่ยนมาใช้มาตรการลงโทษที่เด็ดขาดแทน เช่น การขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) ผู้ทิ้งงานไม่ให้เข้าประมูลงานรัฐอีก ซึ่งมีประสิทธิภาพกว่าการยึดเงินประกัน

• ผลลัพธ์: คาดว่าจะประหยัดงบประมาณจากการลดต้นทุนแฝงของผู้ประกอบการได้ประมาณ 5,700 ล้านบาทต่อปี

 

3. ใช้มาตรฐาน CoST กับโครงการก่อสร้าง 10-100 ล้านบาท:

• บังคับให้โครงการก่อสร้างมูลค่า 10 - 100 ล้านบาท ต้องเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (Construction Transparency Initiative: CoST)

• ข้อมูลที่ต้องเปิดเผยผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ต้องครอบคลุมถึงข้อมูลสำคัญตลอดวงจรของโครงการ ตั้งแต่ก่อนทำสัญญา ระหว่างทำสัญญา และหลังทำสัญญา รวมถึงรายงานความคืบหน้า การแก้ไขสัญญา และการเบิกจ่ายเงิน

• ผลลัพธ์: จากข้อมูลการทดลองใช้แนวทาง CoST ในประเทศไทยซึ่งพบว่าสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึงร้อยละ 7.4 จึงประมาณการได้ว่าหากบังคับใช้กับทุกโครงการที่เข้าข่าย จะสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 22,843 ล้านบาทต่อปี

 

4. บังคับใช้ข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact):

• กำหนดให้โครงการมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท ต้อง เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม (จากเดิมที่เป็นระบบสมัครใจ)

• ส่งผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าไปสังเกตการณ์ตั้งแต่ขั้นตอนการร่างขอบเขตงาน (TOR) จนถึงการตรวจรับงาน เพื่อป้องปรามการล็อกสเปกและการฮั้วประมูล

• ผลลัพธ์: อ้างอิงจากข้อมูลขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่ระบุว่าโครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมสามารถลดงบประมาณลงได้เฉลี่ยร้อยละ 8.2 จึงคาดว่าการบังคับใช้มาตรการนี้จะช่วยประหยัดงบประมาณได้ถึง 30,311 ล้านบาทต่อปี