จากการวิเคราะห์สถานการณ์การจัดเก็บรายได้ของประเทศไทย พบประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญคือ
1. ประสิทธิภาพการจัดเก็บต่ำกว่าศักยภาพ
ในปีภาษี 2565 รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้รวม 2.78 ล้านล้านบาท โดยมาจากภาษีหลัก 3 ประเภท คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (9.3 แสนล้านบาท) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (7.3 แสนล้านบาท) และภาษีเงินได้นิติบุคคล (3.7 แสนล้านบาท)
แม้ตัวเลขจะดูสูง แต่เมื่อพิจารณาย้อนหลัง 3 ทศวรรษ จะพบว่าสัดส่วนรายได้ภาษีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Tax-to-GDP) ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 14.7% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงที่ทำได้ราว 18% สิ่งนี้สะท้อนว่าไทยยังมีประสิทธิภาพในการหารายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ขาดงบประมาณในการพัฒนาและต้องพึ่งพาการกู้เงินจนหนี้สาธารณะสูงขึ้น
2. ปัญหาเชิงโครงสร้างและความเหลื่อมล้ำ
• ฐานภาษีแคบ: จำนวนผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีน้อยเมื่อเทียบกับประชากร เพราะรายได้ส่วนใหญ่อยู่ในระบบเศรษฐกิจนอกระบบ
• ความไม่เป็นธรรม: เงื่อนไขการลดหย่อนภาษียังไม่เอื้อต่อคนส่วนใหญ่ และขั้นตอนการยื่นภาษีมีความยุ่งยากซับซ้อน
• ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินได้จริง และจัดเก็บรายได้ได้น้อยกว่าเป้าหมาย
พรรคประชาชนเสนอแนวทางการปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้นไปที่ภาษีหลัก 3 ประเภท ดังนี้:
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: "ขยายฐาน ง่าย และเป็นธรรม"
1.1 ดึงคนเข้าระบบ: กวดขันให้แรงงานในระบบ (ผู้ประกันตน ม.33 และข้าราชการ) ยื่นแบบภาษีให้ครบ 100% ภายในปีแรก และกำหนดให้ทุกคนที่บรรลุนิติภาวะต้องเข้าสู่ระบบภาษี โดยเสียภาษีตั้งแต่บาทแรกที่มีเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน
1.2 ปรับรูปแบบเอกสารภาษีให้เข้าใจง่ายและกรอกได้ง่าย
1.3 เชื่อมโยงข้อมูล: การขอใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว ต้องทำพร้อมกับการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
1.4 เพิ่มมาตรการจูงใจในการยื่นแบบ เช่น กรณีโครงการแบบมุ่งเป้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย จะให้ผู้ที่ยื่นแบบฯ มีสิทธิเข้าร่วมโครงการก่อน หรือมีโควตาพิเศษสำหรับผู้ที่ยื่นแบบฯ
1.5 แก้ไขประมวลรัษฎากรเพื่อกำหนดให้ทุกคนที่บรรลุนิติภาวะแล้วต้องเข้าระบบภาษี และเสียภาษีตั้งแต่มีเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าลดหย่อนตั้งแต่บาทแรก
1.6 ปรับเพิ่มค่าลดหย่อนส่วนตัวเป็น 100,000 บาทต่อปี และเปลี่ยนวิธีลดหย่อนการออมต่างๆ เป็นการลดภาษีโดยตรงในสัดส่วนเท่ากันทุกราย ไม่ใช่หักค่าใช้จ่ายจากรายได้พึงประเมิน
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): "ปรับขึ้นอย่างมีเงื่อนไข พร้อมเยียวยา"
2.1 แผนการปรับอัตรา: ถ้าสภาพเศรษฐกิจดีขึ้น และการบริโภคไม่ถดถอย จะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8% ภายในปี 2571 และเป็น 10% ภายในปี 2573
2.2 มาตรการเยียวยา: เพื่อลดผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย รัฐจะจ่ายเงินชดเชยให้ 480 บาทต่อปี สำหรับทุก ๆ 1% ของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปรับขึ้น
3. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: "อุดช่องโหว่ ลดความเหลื่อมล้ำ"
3.1 ปรับปรุงการแจ้งการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยกำหนดให้แจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก และกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคือเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น เว้นแต่ในกรณีที่ดินที่เอกชนไม่อาจมีกรรมสิทธิ์ ให้ผู้ครอบครองที่ดินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
3.2 ปรับปรุงการแจ้งประเมิน: กำหนดให้การแจ้งการประเมินภาษีที่ดินฯ ต้องแจ้งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ให้เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีหน้าที่เสียภาษี เว้นแต่ในกรณีที่ดินที่เอกชนไม่อาจมีกรรมสิทธิ์ ให้ผู้ครอบครองที่ดินนั้นมีหน้าที่ต้องเสียภาษีแทน
3.3 ปรับลดเบี้ยปรับให้เป็นธรรม: ลดอัตราเบี้ยปรับจาก 40% เหลือ 10% และลดลงอีกเหลือ 1% หากชำระเบี้ยปรับก่อนได้รับหนังสือแจ้งเตือน พร้อมมาตรการนิรโทษกรรมภาษีอย่างอ่อน คือ ให้ชำระเฉพาะต้นเงินโดยไม่ต้องชำระเบี้ยปรับ หรือชำระเบี้ยปรับในอัตราใหม่
3.4 ลดการยกเว้นฐานภาษี: ปรับลดมูลค่าการยกเว้นภาษีสำหรับการใช้ประโยชน์เพื่อเกษตรกรรมและเพื่อการอยู่อาศัย จาก 50 ล้านบาท เหลือ 5 ล้านบาท
3.5 แก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินเทียม: กำหนดประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติม และให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กำหนดอัตราภาษีแต่ละประเภทตามความเหมาะสม (เช่น ตามข้อกำหนดผังเมือง หรือในกรณีของที่ดินตาบอด) ภายใต้เพดานอัตราภาษีสูงสุดตามกฎหมาย (ไม่เกิน 3%)
3.6 เก็บภาษีที่ดินแบบรวมแปลง โดย
จัดเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดาที่ถือครองที่ดินตั้งแต่ 50 ไร่ขึ้นไป หรือนิติบุคคลที่ถือครองที่ดินตั้งแต่ 1 ไร่ขึ้นไป
เสียภาษีในอัตราไม่เกิน 1.5% ของมูลค่าที่ดิน โดยกรมสรรพากรมีหน้าที่ประเมินภาษีในช่วงปลายปีของทุกปี
การขับเคลื่อนนโยบายภาษีให้เป็นจริง ต้องอาศัยการแก้ไขกฎหมายและการบริหารจัดการข้อมูล ดังนี้
1. มาตรการด้านภาษีเงินได้
• กำหนด KPI กรมสรรพากร: กำหนดตัวชี้วัดผลงานกรมสรรพากรในการนำคนเข้าสู่ระบบภาษี และเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางและสำนักงานประกันสังคม
• ปรับปรุงแบบฟอร์ม: มอบหมายกรมสรรพากร ออกแบบ ภ.ง.ด. 90/91 ใหม่ให้เข้าใจง่าย และสร้างแบบฟอร์มใหม่ที่ไม่ซับซ้อนสำหรับผู้มีรายได้น้อย
• ปรับเงื่อนไขคนต่างด้าว: กำหนดให้การขอและต่ออายุใบอนุญาตทำงานคนต่างด้าว ต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และใช้ประวัติการชำระภาษีเป็นเอกสารประกอบ
• แก้ไขประมวลรัษฎากร: ให้ข้อมูลการชำระภาษีเป็นไปโดยเปิดเผย กำหนดให้ไม่มีขั้นต่ำของเงินได้ สำหรับผู้มีหน้าที่ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมิน และเพื่อแก้ไขอัตราค่าลดหย่อนส่วนตัวและคู่สมรส
2. มาตรการด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม
• ตราพระราชกฤษฎีกา: ออกกฎหมายเพื่อปรับลดอัตราภาษีเป็น 8% ในระยะแรก และปล่อยให้กลับสู่ 10% ตามประมวลรัษฎากรในระยะที่สอง
• งบประมาณเยียวยา: จัดสรรงบประมาณ ผู้มีรายได้น้อย 480 บาท/ปี ต่อ 1% ภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยปีแรกใช้งบ 4,800 ล้านบาทต่อปี เพื่อจ่ายเงินสดชดเชยให้แก่กลุ่มเป้าหมาย 10 ล้านคน
3. มาตรการด้านภาษีที่ดิน
• แจ้งประเมินอิเล็กทรอนิกส์: แก้ไข พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 และจัดทำระบบสำหรับการแจ้งภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
• ลดอัตราเบี้ยปรับ: แก้ไข พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 68 เพื่อปรับลดอัตราเบี้ยปรับ และให้นิรโทษกรรมภาษีอย่างอ่อน
• ลดการยกเว้นฐานภาษี: แก้ไข พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 40 และมาตรา 41 เพื่อปรับลดมูลค่าการยกเว้นภาษีสำหรับการใช้ประโยชน์เพื่อเกษตรกรรมและเพื่อการอยู่อาศัย
• แก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินเทียม: แก้ไข พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำหนดอัตราภาษีตามประเภทการใช้ประโยชน์ เพื่อใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมือง
• เก็บภาษีที่ดินรวมแปลง: แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร โดยเพิ่มหมวดที่เกี่ยวข้องกับการเก็บภาษีที่ดินรวมแปลง เพื่อเก็บภาษีที่ดินจากเจ้าของที่ดินที่ถือครองที่ดินเกินกว่าจำนวนที่กำหนด โดยกรมสรรพากรมีหน้าที่ประเมินภาษี และเชื่อมโยงข้อมูลภาษีระหว่างกรมที่ดิน กรมสรรพากร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คาดการณ์ว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท