นโยบายของพรรคประชาชนเสนอกรอบใหญ่ 3 มิติ
มิติที่หนึ่ง ยกระดับปัญหาเป็น “วาระแห่งชาติ” และสงครามกับทุนสีเทา
ประกาศให้การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ การฟอกเงิน และการค้ามนุษย์ เป็นภารกิจเร่งด่วนสูงสุดระดับชาติ เพื่อระดมสรรพกำลังจากทุกหน่วยงานมาจัดการปัญหาอย่างจริงจัง
ยกระดับการมองปัญหาจากเดิมที่เป็นเพียง "คดีฉ้อโกงออนไลน์รายบุคคล" ให้เป็นการรับมือกับ "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและเครือข่ายทุนสีเทา" ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในระดับโครงสร้าง
มิติที่สอง กำหนดยุทธศาสตร์ 3 ชั้น เพื่อถอนรากถอนโคนทุนสีเทา
วอร์รูมระดับชาติ: ตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านสแกมแห่งชาติ (National Anti-Scam War Room) บูรณาการการทำงานแบบเรียลไทม์ระหว่าง ตำรวจไซเบอร์, DSI, ปปง., ธปท., ก.ล.ต., กสทช., และอัยการ ร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ
ธนาคารและค่ายมือถือต้องร่วมรับผิดชอบ: บังคับใช้กฎหมาย (พ.ร.ก. ไซเบอร์ฯ มาตรา 8/10) ให้สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ผู้ให้บริการหลักทรัพย์ ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ ธปท., กสทช., ก.ล.ต. ร่วมรับผิดชอบต่อผู้เสียหาย เพื่อเป็นกุศโลบายให้ปรับปรุงระบบความมั่นคงปลอดภัยเพื่อคุ้มครองประชาชน
ปิดช่องโหว่การเงิน: เสริมมาตรการยืนยันตัวตน (KYC) และการตรวจสอบเส้นทางเงิน (AML) ให้เข้มข้น เพื่อกำจัดบัญชีม้าและการฟอกเงินผ่านธนาคารและคริปโตเคอร์เรนซี
ใช้ระบบ “ตีตรวนบัญชีม้า” (เช่น การระงับสิทธิ์ทำธุรกรรมทุกธนาคาร) และใช้แนวคิด “ยึดทรัพย์ก่อน สอบสวนทีหลัง” ในกรณีที่มีหลักฐานชัดเจน เพื่อหยุดการย้ายทรัพย์สินให้ทันท่วงที
เยียวยาผู้เสียหาย: จัดตั้ง กองทุนชดเชยเหยื่อ โดยนำเงินและทรัพย์สินที่ยึดได้จากกลุ่มอาชญากรมาคืนให้แก่ผู้เสียหาย
กวาดบ้านตัวเอง: เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองที่พัวพันกับทุนสีเทาอย่างเด็ดขาด พร้อมมีมาตรการคุ้มครอง ผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower) อย่างจริงจัง
รุกถึงจุดเสี่ยง: ตั้งชุดปฏิบัติการร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทลายฐานที่มั่นในจุดยุทธศาสตร์ เช่น ปอยเปต, สีหนุวิลล์ และสามเหลี่ยมทองคำ
แลกเปลี่ยนข้อมูลล่าตัว: ตั้ง ศูนย์ข่าวกรองอนุภูมิภาคแม่โขง เพื่อแชร์ข้อมูลบัญชีต้องสงสัย เส้นทางเงิน และพิกัดค่ายสแกมแบบทันเหตุการณ์
ยกระดับนโยบายชายแดน: ปรับนโยบายบริหารจัดการชายแดนให้เน้นการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเป็นลำดับต้นๆ ไม่จำกัดอยู่แค่เรื่องแรงงานหรือการค้าทั่วไป
ชั้นโลก: ทำให้ “โลกทั้งใบเป็นพันธมิตรของไทย”
ผู้นำอาเซียนปราบไซเบอร์: ผลักดัน แผนปฏิบัติการร่วมอาเซียน ด้านอาชญากรรมไซเบอร์และสแกม และตั้งศูนย์ประสานงานกลางเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มประเทศเทคโนโลยีสูง เช่น สหรัฐฯ, จีน, ญี่ปุ่น และยุโรป
ทีมสอบสวนสากล: จัดตั้ง ชุดสืบสวนร่วม (Joint Investigation Teams - JITs) กับประเทศคู่ค้า
ยกระดับมาตรฐานสากล: ใช้กลไกตรวจจับการฟอกเงินระดับโลก เช่น FATF, FinCEN และ FIU เพื่อติดตามเงินผิดกฎหมายที่ไหลออกนอกประเทศ
ทวงคืนทรัพย์สินข้ามชาติ: ผลักดันข้อตกลงในการเฉลี่ยทรัพย์เพื่อนำสินทรัพย์หรือคริปโตที่รัฐบาลต่างประเทศยึดได้ กลับมาคืนให้แก่เหยื่อชาวไทย
ปรับปรุงกฎหมายหลักให้ทันสมัย: เร่งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายสำคัญ 4 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์, พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ พ.ร.บ. ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ให้รองรับการปราบปรามอาชญากรรมยุคใหม่
ตรากฎหมายคุมการเงินดิจิทัล: ร่าง พ.ร.บ. กำกับบริการการเงินดิจิทัล เพื่อสร้างมาตรฐานการส่งข้อมูลผู้โอน-ผู้รับ (Travel Rule), เพิ่มอำนาจการอายัดสินทรัพย์ดิจิทัลที่รวดเร็ว และรองรับการใช้พยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ในชั้นศาล
ยกระดับกลไกตุลาการเฉพาะทาง: จัดตั้ง หน่วยอัยการพิเศษ และ แผนกคดีพิเศษในศาล เพื่อพิจารณาคดีฟอกเงินและอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะ
แบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ
จัดตั้งวอร์รูมระดับชาติ (National Anti-Scam War Room):
สร้างศูนย์สั่งการเชื่อมข้อมูลเรียลไทม์ระหว่าง ตำรวจไซเบอร์, DSI, ปปง., ธปท., ก.ล.ต., กสทช., กระทรวงต่างประเทศ (MFA) และอัยการ
บังคับใช้มาตรา 8/10 ของ พ.ร.ก. ไซเบอร์ฯ ฉบับที่ 2 อย่างจริงจัง เร่งกฎหมายลูกเพื่อคุ้มครองและชดเชยผู้เสียหายทันที
ส่งชุดปฏิบัติการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนสำคัญเพื่อจบปัญหาการทำงานล่าช้าหรือการโยนเรื่องระหว่างหน่วยงาน
ยกระดับเทคโนโลยีปราบอาชญากรรม:
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ธุรกรรมบล็อกเชน (Blockchain Analytics) เพื่อตามสืบและอายัดคริปโตเคอร์เรนซีที่ถูกโกงไป
บังคับให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล (VASP) รายงานธุรกรรมต้องสงสัยอย่างเข้มงวด
ระบบ “ตีตรวนบัญชีม้า”:
ประสานธนาคารและค่ายมือถือ เพิ่มความเข้มงวดในการเปิดบัญชีหรือซิมใหม่
ใช้ระบบอายัดและแจ้งเตือนบัญชีต้องสงสัยแบบเกือบเรียลไทม์ เมื่อพบพฤติกรรมเงินไหลออกต่างประเทศผิดปกติ
ช่วยเหลือเหยื่อและปราบทุจริต:
ตั้งทีมเฉพาะกิจช่วยคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานค่ายสแกมในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมสายด่วนติดตามเคสข้ามพรมแดน
เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ–นักการเมืองที่เกี่ยวข้อง
ผนึกกำลัง ป.ป.ช., ป.ป.ท. และ ปปง. สืบเส้นทางเงินเอาผิดนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐที่พัวพันทุนสีเทา พร้อมคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส (Whistleblower)
อัปเกรดกฎหมายให้เท่าทันโลก:
เพิ่มกฎระเบียบการส่งข้อมูลธุรกรรม (Travel Rule) และขยายคำนิยาม "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ" ให้ครอบคลุมการหลอกลวงออนไลน์
แก้ไขกฎหมายค้ามนุษย์ให้ระบุความผิดเรื่อง "การบังคับทำสแกม" ไว้อย่างชัดเจน
ยึดทรัพย์เชิงรุกเพื่อเยียวยา:
ตั้งทีมผสม (ปปง. + ตำรวจ + สรรพากร + อัยการ) และเพิ่มช่องทางให้ศาลสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราวได้รวดเร็วขึ้นก่อนเงินถูกโยกย้าย
นำทรัพย์สินที่ยึดมาได้เข้าสู่ "กองทุนชดเชยเหยื่อ" เพื่อคืนเงินให้ผู้เสียหาย
สร้างเครือข่ายความมั่นคงระดับภูมิภาค:
บริหารจัดการศูนย์ข่าวกรองลุ่มน้ำโขงเพื่อแชร์ข้อมูลเส้นทางเงินและพิกัดค่ายสแกมร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน
สร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัล:
ทำแคมเปญ “รู้ทันสแกม” ร่วมกับแพลตฟอร์มเอกชน และบรรจุวิชาความฉลาดทางดิจิทัลและการเงิน (Digital & Financial Literacy) ในหลักสูตรการศึกษาและการฝึกอบรมแรงงาน
ยกระดับบทบาทไทยในเวทีโลก:
ผลักดันแผนปฏิบัติการอาเซียนและตั้งศูนย์ประสานงานอาชญากรรมไซเบอร์อาเซียนพร้อมฐานข้อมูลอาชญากรร่วมกัน
ทำ MOU จัดตั้งชุดสืบสวนร่วม (Joint Investigation Teams) กับประเทศมหาอำนาจด้านเทคโนโลยี ในคดีใหญ่
ปฏิรูประบบการเงินและยุติธรรม:
ตรา พ.ร.บ. บริการการเงินดิจิทัล เพื่อคุมเข้มแพลตฟอร์มการเงินออนไลน์ทุกประเภท
พัฒนาระบบ KYC แบบเชื่อมโยงฐานข้อมูลรัฐและธนาคารแบบเรียลไทม์
ตั้งแผนกคดีพิเศษในศาลและหน่วยอัยการพิเศษสำหรับคดีฟอกเงิน-สแกม-ค้ามนุษย์ข้ามชาติ พร้อมปรับระเบียบการรับรองพยานหลักฐานดิจิทัลให้รวดเร็วขึ้น
กลไกบริหารระดับชาติที่ยั่งยืน:
ตั้ง “คณะกรรมการนโยบายการปราบปรามแก๊งสแกมและอาชญากรรมข้ามชาติ” โดยมีนายกฯ หรือรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน
กำหนดให้มีการรายงานความคืบหน้าต่อรัฐสภาสม่ำเสมอ เพื่อให้การปราบทุนสีเทาเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่ขึ้นอยู่กับวาระของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง