1. บาดแผลเรื้อรังจากการสูญเสีย: นับตั้งแต่ความรุนแรงปะทุขึ้นในปี 2547 จนถึงปัจจุบัน ข้อมูลจาก ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ระบุว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นกว่า 23,406 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 7,786 ราย (ข้อมูลสะสมถึงปี 2566) โดยกว่า 70% เป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์
2. สภาวะยกเว้นที่ทำลายสิทธิเสรีภาพ: รัฐใช้การประกาศเขตปกครองพิเศษในรูปแบบ "สภาวะยกเว้น" ผ่านการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงที่รุนแรง เช่น พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ทำให้กองทัพมีอำนาจเหนือรัฐบาลพลเรือน ส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและทำลายความเชื่อมั่นระหว่างรัฐกับประชาชน
3. ช่องว่างกลไกรัฐกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น: ความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้เกิดจากโครงสร้างการบริหารราชการที่ยังไม่สามารถตอบสนองต่ออัตลักษณ์และความต้องการที่หลากหลายของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ เมื่อพื้นที่ทางการเมืองแบบสันติวิธีถูกจำกัด ผู้เห็นต่างส่วนหนึ่งจึงเลือกใช้ความรุนแรง
4. ขาดเจตจำนงทางการเมืองที่ต่อเนื่อง: รัฐบาลที่ผ่านมามักขาดความจริงจังต่อกระบวนการสันติภาพ และกระบวนการมักเปลี่ยนไปตามขั้วการเมือง การพูดคุยสันติภาพจึงไม่เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งได้จริง
1. ผลักดันกระบวนการสันติภาพ: รัฐบาลประกาศเจตจำนงผลักดันกระบวนการสันติภาพอย่างเป็นทางการ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและความชอบธรรมของอำนาจรัฐ โดยเปลี่ยนผ่านจากพื้นที่ขัดแย้งสู่สภาวะปกติใหม่ที่ยึดถือความปลอดภัยของประชาชนทุกกลุ่มเป็นตัวตั้ง
2. ยกระดับการพูดคุยสันติภาพโดยพลเรือน: วางให้ "กระบวนการสันติภาพ" เป็นแกนกลางในการแก้ปัญหา โดยสานต่อและยกระดับการเจรจา และเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพให้เป็น "พลเรือน" เพื่อมุ่งหน้าสู่การบรรลุข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืนและสร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบ
3. ลดการพึ่งพากฎหมายพิเศษอย่างเป็นขั้นตอน: ทยอยยกเลิกกฎหมายความมั่นคงที่เข้มงวด โดยเริ่มจากการยกเลิก กฎอัยการศึก ในพื้นที่ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส พร้อมทบทวนและทยอยยกเลิกการประกาศ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง (พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ) เป็นรายอำเภอ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความปลอดภัยจริงในพื้นที่
4. ปฏิรูปกลไกบริหารราชการในระยะเปลี่ยนผ่าน: ปรับบทบาทหน่วยงานความมั่นคงเดิมอย่าง กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ให้เน้นเฉพาะภารกิจรักษาความปลอดภัย และยกระดับหน่วยงานพลเรือนอย่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนงานสันติภาพและการพัฒนาพื้นที่อย่างเต็มตัว
5. เปิดพื้นที่ทางการเมืองและดึงภาคประชาสังคมร่วมขับเคลื่อน: ส่งเสริมให้เครือข่ายภาคประชาสังคม ทั้งในและนอกพื้นที่ มีบทบาทสำคัญในการสร้าง "บทสนทนาทางเลือก" เกี่ยวกับทางออกทางการเมือง เช่น การกระจายอำนาจ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศเพื่อหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพ
6. เพิ่มบทบาทกำกับดูแลโดยสภาผู้แทนราษฎร: ใช้กลไก คณะกรรมาธิการสามัญ ของสภาผู้แทนราษฎร ในการติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการทำงานของรัฐบาลในการสร้างสันติภาพ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสะท้อนเสียงของประชาชนผ่านตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง
7. ปรับปรุงกฎหมายเพื่อสิทธิมนุษยชนและการกระจายอำนาจ: เร่งแก้ไขและปรับปรุงชุดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและสิทธิมนุษยชน รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการปกครองท้องถิ่น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎหมายที่เอื้อต่อการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความหลากหลาย และรองรับการกระจายอำนาจในอนาคต
คำสั่งฝ่ายบริหาร: นายกฯ ประกาศรับรองแนวทางการสร้างสันติภาพอย่างเป็นทางการ และออกคำสั่งกำหนดโครงสร้างการบริหารที่เน้นการบูรณาการงานความมั่นคง การพัฒนา และการพูดคุยสันติภาพ
คณะพูดคุยสันติภาพชุดใหม่: จัดตั้งคณะทำงานที่มีพลเรือนนำ วางกรอบการทำงาน 3 ส่วน: การลดความรุนแรง, การปรึกษาหารือสาธารณะ และการแสวงหาทางออกทางการเมือง (เช่น การกระจายอำนาจ)
งบประมาณบูรณาการใหม่: ปรับปรุง "แผนงานบูรณาการสร้างสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้" โดยใช้ตัวชี้วัดความเชื่อมั่นและความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก
แผนยกเลิกกฎหมายพิเศษ: ดำเนินการยกเลิกกฎอัยการศึก และทยอยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รายอำเภอให้สอดรับกับแผนการหยุดยิง
เส้นทางสู่การยุบ กอ.รมน.: ตรากฎหมายยุบเลิก กอ.รมน. ทั่วประเทศ โดยในช่วงแรก จะคงบทบาท กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ไว้เฉพาะภารกิจที่จำเป็น ก่อนจะแปรสภาพสู่ "กองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร" ภายใต้รัฐบาลพลเรือน เพื่อดูแลงานข่าวกรอง การดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพ การรักษาความปลอดภัย การปลดอาวุธ
คุ้มครองภาคประชาสังคม: รัฐบาลส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในการแสดงออกทางการเมืองอย่างปลอดภัย เช่น ทบทวนและยุติการฟ้องปิดปาก (SLAPP) และปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (IO)
ส่งเสริมอัตลักษณ์และพหุวัฒนธรรม: ส่งเสริมความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของผู้คนที่แตกต่างหลากหลายให้อยู่ร่วมกัน เช่น การส่งเสริมการเรียนภาษามลายู
เศรษฐกิจจูงใจเพื่อสันติภาพ: ปรับปรุงมาตรการเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ให้เน้นการลงทุนที่สร้างประโยชน์ต่อคนในพื้นที่โดยตรง เพื่อใช้โอกาสทางเศรษฐกิจเป็นแรงขับเคลื่อนสันติภาพอย่างยั่งยืน