เบี้ยยังชีพปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ: คนพิการส่วนใหญ่ได้รับเบี้ยยังชีพ 800–1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ: ครัวเรือนที่มีคนพิการกว่าร้อยละ 40 อยู่ในกลุ่มครัวเรือนที่ยากจนที่สุด และครัวเรือนที่มีคนพิการมากกว่าร้อยละ 30 มีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย โดยเฉลี่ยขาดหายไปประมาณ 3,500 บาทต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้ที่หายไปจากการที่คนพิการขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ
กระบวนการเข้าถึงสิทธิสร้างภาระ: กระบวนการต่ออายุบัตรคนพิการทุก 8 ปี แม้ในกรณีที่ความพิการเป็นภาวะถาวร สร้างความลำบากอย่างมาก โดยเฉพาะต่อผู้พิการที่ติดบ้านหรือติดเตียง ซึ่งไม่สามารถเดินทางไปต่ออายุได้ ทำให้ถูกตัดสิทธิ์เบี้ยยังชีพโดยไม่จำเป็น
ขาดแคลนกายอุปกรณ์ เข้าไม่ถึงการฟื้นฟู: การสำรวจความพิการยังพบว่า มีผู้สูงอายุประมาณ 694,748 คน ที่ยังไม่ได้รับอุปกรณ์ความช่วยเหลือจากรัฐ เช่น เครื่องช่วยฟัง (146,215 คน) ไม้เท้า (129,056 คน) แว่นตาที่ตัดพิเศษ (117,488 คน) รถนั่งคนพิการ (115,363 คน) ขณะเดียวกัน ก็มีคนพิการที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ แต่ไม่ได้รับบริการฟื้นฟูมีมากถึง 384,306 คน โดยมีเหตุผลสำคัญคือ ไม่มีผู้พาไป หรือเดินทางไม่สะดวก และไม่มีเงินจ่ายค่าบริการ
เพิ่มเบี้ยคนพิการถ้วนหน้า 1,200 บาท/เดือน
เพิ่มเบี้ยสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการดูแลตัวเองระดับรุนแรง เป็น 2,000 บาทต่อเดือน (ซึ่งจากรายงานปี 2565 มีประมาณ 620,000 คน)
ปรับอัตราเบี้ยคนพิการ: แก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยความพิการให้คนพิการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ปรับปรุงกระบวนการออกและต่ออายุบัตร: แก้ไขระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวคนพิการ การออกบัตร และการกําหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจออกบัตรประจําตัวคนพิการ การกําหนดสิทธิหรือการเปลี่ยนแปลงสิทธิ การขอสละสิทธิของคนพิการ และอายุบัตรของคนพิการ ให้มีความยืดหยุ่นและลดภาระสำหรับคนพิการที่มีภาวะความพิการถาวรหรือติดเตียง