1. รัฐเพื่อประชาชน (Digital for Citizen-centric)
เพื่อให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง รัฐจะปรับเปลี่ยนการทำงานผ่าน 5 กลไกหลัก ดังนี้:
- เลิกสร้างแอปซ้ำซ้อน: ให้อำนาจ DGA ร่วมกับสำนักงบประมาณ ตรวจสอบการพัฒนาระบบดิจิทัลตั้งแต่ต้น หากระบบใดทำหน้าที่ซ้ำกันจะถูกยกระดับเป็น "แพลตฟอร์มกลาง" ใช้ TOR และสถาปัตยกรรมเดียวกัน เพื่อลดการสิ้นเปลืองและเชื่อมต่อข้อมูลได้ทันที
- มาตรฐานการออกแบบแอปรัฐ (Government Design System): จัด UX Workshop ระหว่างประชาชนและเจ้าหน้าที่ เพื่อสร้างมาตรฐานกลาง (Design System) ทั้งรูปแบบ หน้าจอ ภาษา ขั้นตอนการให้บริการ และการออกแบบที่ลดภาระประชาชน โดยผูกเข้ากับการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้ทุกแอปฯ ของรัฐมีมาตรฐานเดียวกันโดยอัตโนมัติ
- ระบบพิสูจน์ตัวตนเดียว (One Government Digital ID): บูรณาการระบบ Digital ID ให้เหลือเครื่องมือหลักเพียงชุดเดียว โดยบูรณาการบทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น DGA, ETDA และกรมการปกครอง เพื่อลดความซ้ำซ้อนของแพลตฟอร์มเดิม และสร้างภาพจำเดียวให้ประชาชนใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน (One Government Digital ID) โดยกำหนดให้บริการดิจิทัลใหม่ของรัฐต้องเชื่อมต่อผ่านระบบ Digital ID กลางนี้เป็นหลัก
- คลังสิทธิประชาชนด้วย AI (Welfare Knowledge Base): รวบรวมสวัสดิการทุกหน่วยงานมาไว้ที่เดียวในรูปแบบที่เครื่องอ่านได้ และใช้ AI (RAG) ช่วยตอบคำถามสิทธิประโยชน์เป็นภาษาที่เข้าใจง่าย โดยรัฐจะเป็นฝ่าย "ค้นหาและบอกสิทธิ" แทนการให้ประชาชนต้องไปไล่หาเอง
- พิกัดบ้านดิจิทัล (PlaceID): พัฒนาฐานข้อมูลพิกัดบ้านและสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศ ผูกกับรหัส PlaceID เพียงตัวเดียว และจัดทำเป็นฐานข้อมูลกลางที่เปิดให้ใช้งานร่วมกัน ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมการปกครอง (ใช้กลไกระดับหมู่บ้านในการจัดเก็บข้อมูล), ไปรษณีย์ไทย, การไฟฟ้า และการประปา รวมถึงเอกชนที่มีข้อมูล เมื่อเกิดเหตุ เช่น อุทกภัย ประชาชนเพียงกรอกรหัส PlaceID หน่วยงานรัฐจะสามารถระบุตำแหน่งและเข้าช่วยเหลือได้ทันที และทุกแพลตฟอร์มภาครัฐที่ต้องกรอกที่อยู่สามารถเชื่อมต่อผ่าน API โดยใช้ PlaceID เพียงตัวเดียว
2. พัฒนาการทำงานด้วยระบบดิจิทัล (Digital for Intelligent Processes)
ปรับปรุงการทำงานภายในภาครัฐให้มีความฉลาด โปร่งใส และมีประสิทธิภาพสูง โดย
- มาตรฐานข้อมูลภาครัฐ (Government Data Standard): ออกมติ ครม. รับรองมาตรฐานข้อมูลที่เครื่องอ่านได้ (Machine-readable) เช่น ทะเบียนประวัติ หรือข้อมูลเซ็นเซอร์เมือง เพื่อเปิดให้เอกชนนำไปพัฒนาบริการแข่งขันกันได้ ลดการผูกขาดข้อมูลเฉพาะหน่วยงาน
- รัฐไร้กระดาษ (e-Office): ออกมติ ครม. กำหนดให้ทุกหน่วยงานเปลี่ยนมาใช้ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ภายในปีแรก โดยเลือกซอฟต์แวร์จากบัญชีบริการดิจิทัลที่ได้มาตรฐานจาก DEPA และ DGA เพื่อให้ทุกหน่วยงาน เชื่อมต่อข้อมูลกันได้แบบไร้รอยต่อ
- การแลกเปลี่ยนข้อมูลกลาง (GDX): ใช้ระบบ “โครงข่ายระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลกลางของรัฐ (Government Data Exchange Center: GDX)” เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลหลัก (Master Data) ระหว่างหน่วยงาน ตามประกาศที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลได้ประกาศไว้ หากหน่วยงานใดมีข้อมูลแล้ว หน่วยงานอื่นต้องเรียกใช้ได้ทันที ยุติการขอสำเนาเอกสารและการจัดเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน
- ระบบขออนุญาตก่อสร้างออนไลน์ (Pre-process): แปลงกฎหมายผังเมืองและข้อบัญญัติท้องถิ่น ให้เป็นระบบ Logic มาตรฐาน (Rule / Decision Tree) ที่ระบบสามารถตรวจสอบได้อัตโนมัติก่อนการยื่นคำขอจริง ภาครัฐทำหน้าที่กำหนดและรับรองกติกา (Regulatory Logic) ในรูปแบบ Machine-readable และเปิดให้เชื่อมต่อผ่าน API ขณะที่ภาคเอกชนสามารถพัฒนาเครื่องมือช่วยออกแบบ ตรวจสอบแบบเบื้องต้น และประเมินความเป็นไปได้ล่วงหน้า ระบบจะแจ้งผลว่า “ยื่นได้ / ต้องแก้ไข / ไม่เข้าเงื่อนไข” ตั้งแต่ต้น ลดการตีกลับ ลดการใช้ดุลพินิจ และทำให้ขั้นตอนอนุญาตจริงของภาครัฐเหลือเพียงการตรวจยืนยันและออกใบอนุญาต
- เปิดข้อมูลงบประมาณท้องถิ่น (Open e-LAAS): เปิดข้อมูลงบประมาณท้องถิ่นผ่าน Open API เพื่อให้ประชาชนและสื่อสามารถนำไปทำ Dashboard ติดตามการใช้งบได้ง่าย แทนการไล่อ่านไฟล์ PDF ของแต่ละหน่วยงาน
- รัฐเป็น Open Source (Public Code): กำหนดให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยงบประมาณของรัฐ (ยกเว้นด้านความมั่นคง) ต้องเผยแพร่เป็น Open Source และเก็บไว้ในคลังกลาง (Repository) แทนการส่งมอบแบบปิดเช่นส่งมอบเป็นแผ่นซีดี หรือไฟล์เฉพาะผู้รับจ้าง เพื่อให้ตรวจสอบได้ พัฒนาต่อยอดได้ และและทำให้การดิจิทัลของรัฐเป็นระบบเดียว เชื่อมโยงกันได้ และยั่งยืนในระยะยาว