วิกฤตทักษะพื้นฐาน: รายงานจากธนาคารโลกและ กสศ. ชี้ว่า แรงงานไทยกว่า 74% มีทักษะดิจิทัลต่ำกว่าเกณฑ์ และ 65% มีทักษะการรู้หนังสือขั้นพื้นฐาน (เช่น การปฏิบัติตามฉลากยา) ต่ำกว่าเกณฑ์ ส่งผลต่อค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจคิดเป็น 20% ของ GDP
การลงทุนที่น้อยและกระจัดกระจาย: รัฐไทยจัดสรรงบประมาณให้โครงการฝึกทักษะเพียงปีละประมาณ 3,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่างบซ่อมถนนหลายเท่า อีกทั้งหน่วยงานยังต่างคนต่างทำ ขาดแผนแม่บทที่เชื่อมโยงกัน
หลักสูตรไม่ตอบโจทย์ตลาด: การอบรมส่วนใหญ่เน้นวัดผลที่ "จำนวนผู้เข้าเรียน" มากกว่า "การได้งานหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้น" ขณะที่โครงการยกระดับทักษะของรัฐถูกออกแบบโดยไม่เชื่อมโยงกับความต้องการของภาคเอกชนทั้งผู้ว่าจ้างและแรงงาน
เราจะริเริ่ม “เมกะโปรเจกต์” โดยการเพิ่มปริมาณและเปลี่ยนวิธีการ” ในการยกระดับทักษะกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและผู้เรียน ตามแนวทางต่อไปนี้
1. ออกแบบ “ระบบกลาง” เพื่อบูรณาการงบประมาณและโครงการของทุกหน่วยงานรัฐเกี่ยวกับการยกระดับทักษะกำลังคน โดยยึดหลักการ 5 ข้อต่อไปนี้
แผนแม่บทเดียว (single master plan): กำหนดเป้าหมายกำลังคนรายอุตสาหกรรมและทักษะที่จำเป็นในการยกระดับ ใช้กำกับการทำงานของทุกหน่วยงานภาครัฐ
บัญชีการเรียนรู้ส่วนบุคคล (individual learning account): สร้างบัญชีการเรียนรู้ให้ประชาชนทุกคนในระบบกลาง เพื่อใช้ในการเข้าถึงบริการฝึกทักษะที่รัฐสนับสนุน
การฝึกที่ตอบสนองตลาด (demand-driven training): ใช้กลไกตลาดเพื่อรับประกันว่าทุกโครงการฝึกอบรมทักษะมีที่มาจากความต้องการและการตัดสินใจของผู้ว่าจ้าง และ/หรือ แรงงาน ไม่ใช่จากรัฐที่คิดแทนตลาด
รัฐในฐานะผู้กำกับมาตรฐาน-ส่งเสริม (state as regulator & facilitator) ทำหน้าที่ประสาน กำหนดกติกา ส่งเสริม เชื่อมต่อทุกภาคส่วน และประกันคุณภาพ ไม่ใช่รัฐในฐานะผู้ดำเนินการฝึกอบรมเอง
ผลลัพธ์ที่ต้องประเมินได้ทางเศรษฐกิจ (outcome-oriented): กำหนดตัวชี้วัดที่อิงกับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ (เช่น รายได้ การจ้างงาน) ไม่ใช่ผลผลิตในการดำเนินการ (เช่น จำนวนผู้เข้าอบรม)
2. ขับเคลื่อนผ่าน 3 โครงการหลัก แบ่งตามประเภททักษะ:
3. คัดกรองและจัดระดับคอร์สอบรมที่ร่วมโครงการ
ใช้มาตรฐานเดียวกันในการคัดกรองคอร์สอบรมที่มีคุณภาพจากผู้ฝึกที่หลากหลาย (รัฐ เอกชน สถาบันอุดมศึกษา)
จัดระดับคอร์ส 3 ระดับ ให้ประชาชนและบริษัทใช้ในการเลือกเรียน
ระดับ 1 = ผ่านเกณฑ์คุณภาพขั้นพื้นฐาน
ระดับ 2 = มีการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ (professional qualifications) การรับรองตามกรอบมาตรฐานสากล (เช่น CEFR ของภาษาอังกฤษ) หรือ มีตราสัญลักษณ์ด้านคุณภาพ (trust mark) ที่ถูกรับรองโดยสมาคมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
ระดับ 3 = มีการรับประกันการจ้างงาน การฝึกงาน หรือ การสัมภาษณ์งาน สำหรับผู้อบรมสำเร็จ
ทบทวนคอร์สที่เคยได้รับการอนุมัติ ทุก 2-3 ปี เพื่อประเมินว่าคอร์สนั้นควรได้ไปต่อหรือไม่
อาจส่งเสริมหรือให้รางวัลแก่ผู้จัดทำคอร์ส โดยอิงผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ (เช่น รายได้ที่เพิ่มขึ้น หรือ อัตราการจ้างงาน สำหรับผู้เรียนจบในแต่ละคอร์ส)
4. รวมแพลตฟอร์มการเรียนรู้เดียว (Single Platform) ยุติหรือควบรวมแพลตฟอร์มอื่นของรัฐให้มารวมเป็นแพลตฟอร์มเดียว เพื่อเป็นศูนย์บริการด้านทักษะแก่ประชาชน โดยขั้นต่ำต้องมีบริการต่อไปนี้:
Marketplace: ตลาดซื้อขายคอร์สอบรมทักษะ รวบรวมคอร์สต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในตลาด และถูกอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ (ทั้งคอร์สออนไลน์และคอร์สออนไซต์) เพื่อให้ผู้เรียนค้นหาและเลือกเรียนได้ง่าย มีรีวิวของผู้เรียนคนอื่นเป็นข้อมูลประกอบ
AI Guidance: ให้คำแนะนำส่วนตัวเกี่ยวกับคอร์สที่เหมาะสม และบันทึกผลการเรียนซึ่งอาจนำไปเทียบโอนเป็นมาตรฐานวิชาชีพหรือหน่วยกิตในสถานศึกษาได้
Matching System: จับคู่หางานระหว่าง "ผู้เรียนที่กำลังหางาน” กับ “ผู้ประกอบการที่กำลังหาคน” โดยผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลว่าผู้หางานได้อบรมทักษะด้านใดไปบ้าง ส่วนผู้หางานจะเข้าถึงข้อมูลว่าผู้ประกอบการกำลังต้องการคนที่ผ่านการอบรมทักษะใด
5. ระบบประเมินผลด้วยข้อมูลจริง ออกแบบกลไกในการรวบรวมข้อมูลและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการยกระดับทักษะผ่าน “ระบบกลาง”
ออกแบบกลไกการประเมินในหลายระดับ
ระดับ 1 = การประเมินระดับคอร์ส
ระดับ 2 = การประเมินระดับผู้จัดทำคอร์สหรือให้การอบรม
ระดับ 3 = การประเมินระดับโครงการ
ระดับ 4 = การประเมินระดับระบบหรือนโยบาย
การประเมินภายใน โดยคณะกรรมการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การประเมินภายนอก โดยผู้ประเมินที่มีความเป็นกลางและมีความเป็นมืออาชีพสูง
1. แผนงบประมาณและการลงทุน จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุน “เมกะโปรเจกต์” ในการยกระดับทักษะคน
ระยะเริ่มต้น (ปี 0): ปีงบประมาณ 2570 ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มกลางและโครงการนำร่อง (คูปองสำหรับรายบุคคล ใช้ได้เฉพาะคอร์สอบรมออนไลน์เท่านั้น)
ระยะขยายผล (ปี 1): ปีงบประมาณ 2571 ประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น:
โครงการคูปองสำหรับรายบุคคล: 10,000 ล้านบาท นำร่องด้วยแรงงานอายุเกิน 40 ปี จำนวน 2 ล้านคน มูลค่าคูปอง 5,000 บาทต่อคน
โครงการเครดิตรายบริษัท: 8,000 ล้านบาท นำร่องด้วยบริษัทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (เช่น ยานยนต์อนาคต เครื่องมือแพทย์) ครอบคลุมแรงงาน 4 แสนคน มูลค่าคูปอง 20,000 บาทต่อคน
โครงการมาตรการฝึกทักษะสังคม: 500 ล้านบาท
การบริหารจัดการโครงการ: 1,000 ล้านบาท
ระยะยาว (ปี 3-4): ปีงบประมาณ 2573-2574 ขยายโครงการหากประสบความสำเร็จ เพิ่มงบประมาณสู่ 50,000 ล้านบาท
แหล่งที่มางบประมาณ: มาจาก 2 ส่วน
(1) งบประมาณแผ่นดิน จากการควบรวมโครงการฝึกทักษะเดิมและจากการอุดหนุนงบเพิ่มเติม
(2) กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน (รวมถึงเงินสมทบจากบริษัท)
อาจกำหนดจำนวนเงินให้บริษัทสมทบเข้ากองทุน แล้วบริษัทได้รับเครดิตฝึกทักษะกลับคืนเป็นสองเท่าของเงินสมทบ
หากทุกบริษัทสมทบเงินเข้ากองทุนตามอัตราเดิม คาดว่าอยู่ที่ 2,000-3,000 ล้านบาท/ปี
2. กำหนดเจ้าภาพหลักของโครงการให้ชัดเจน แบ่งบทบาทสนับสนุนให้หน่วยงานอื่น โดยไม่ซ้ำซ้อนและครอบคลุมทุกภารกิจ
คณะกรรมการยกระดับทักษะกำลังคน: ควรมีรองนายกฯ เป็นประธาน ประกอบด้วยตัวแทนรัฐ เอกชน และวิชาการ เพื่อวางทิศทางระดับนโยบาย
หน่วยงานเจ้าภาพหลัก: ทำหน้าที่เป็นเลขานุการและบริหารโครงการต่อเนื่อง อาจเป็นองค์กรมหาชนใหม่ หรือ องค์กรมหาชนเดิมที่มีการยกระดับภารกิจ (เช่น สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้)
หน่วยงานสนับสนุน
แบ่งบทบาทตามภารกิจ เช่น กำหนดให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานและกลไกของกรมระดับจังหวัด รับผิดชอบเรื่องการตรวจสอบการฝึกอบรมในระดับพื้นที่ให้เป็นไปตามมาตรฐาน หรือกำหนดให้ สอวช. รับผิดชอบเรื่องการวิเคราะห์แผนกำลังคนของประเทศ
แบ่งบทบาทตามรายอุตสาหกรรม เช่น DEPA ร่วมกับเอกชนในการคัดกรองคอร์สด้านดิจิทัล กรมการท่องเที่ยวร่วมกับเอกชนในการคัดกรองคอร์สด้านภาษาหรือการให้บริการการท่องเที่ยว
3. ผลักดันกฎหมายใหม่ เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน เช่น
กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการและหน่วยงานต่างๆ ให้ชัดเจน ป้องกันนโยบายสะดุดเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล
กำหนดให้โครงสร้างและแนวทางการทำงานมีความต่อเนื่อง แม้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ (เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูล การทำงานบนแผนงานเดียวกัน)
เพิ่มประสิทธิภาพในการบูรณาการงบประมาณและโครงการทั้งหมด (เนื่องจากหน่วยงานหลักใหม่ อาจเป็นหน่วยรับงบประมาณหลักสำหรับโครงการ ก่อนกระจายงบประมาณไปให้หน่วยสนับสนุนต่างๆ)
กำหนดตัวชี้วัดและการประเมินผลร่วมกัน
กำหนดกลไกความร่วมมือกับเอกชนและสถาบันอุดมศึกษา
ออกหลักเกณฑ์ที่ใช้บังคับกับหน่วยงานทั้งหมดของรัฐได้ ในการกำกับมาตรฐานของโครงการยกระดับทักษะที่แต่ละหน่วยงานอาจทำเพิ่มขึ้นเอง
4. นำร่องทั้ง 3 โครงการในปีแรก ก่อนขยายผลตามความสำเร็จ
โครงการ 1 (คูปองสำหรับบุคคล) = นำร่องกับแรงงาน 2 ล้านคน
โครงการ 2 (เครดิตสำหรับนิติบุคคล) = นำร่องกับ 1-2 อุตสาหกรรม
โครงการ 3 (มาตรการฝึกทักษะสังคม) = นำร่องกับ 1-2 ทักษะสังคม