1. โครงสร้างตลาดขาดการแข่งขันและพึ่งพาก๊าซธรรมชาติสูง แม้ประเทศไทยจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบ แต่ประชาชนยังต้องแบกรับค่าไฟที่สูง เนื่องจากกฎหมายและกฎระเบียบเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด ผู้ใช้ไฟไม่มีสิทธิเลือกผู้ขาย นอกจากนี้การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลัก ยังทำให้ค่าไฟผันผวนตามตลาดโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2. ต้นทุนสูงจากสัญญาแบบ "บังคับรับซื้อ" (Must-Take) โครงสร้างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กำหนดให้รัฐต้องรับซื้อไฟแบบบังคับมีสัดส่วนสูงถึง 37.3% ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าทั้งหมด (ข้อมูลจาก กฟผ., 2567) ทำให้ระบบไม่สามารถเลือกใช้ไฟฟ้าต้นทุนต่ำในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ ประชาชนจึงต้องรับภาระต้นทุนส่วนเกินที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
3. ข้อจำกัดในการรองรับพลังงานหมุนเวียน กฎระเบียบแบบรวมศูนย์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานสะอาดที่มีต้นทุนต่ำลงเรื่อยๆ อีกทั้งการลงทุนในโครงข่ายไฟฟ้ายังไม่ยืดหยุ่นพอที่จะรองรับการผลิตไฟฟ้าแบบกระจายตัว ซึ่งเป็นทิศทางหลักของโลกในปัจจุบัน
4. ปัญหาด้านธรรมาภิบาลและความโปร่งใส การรวมอำนาจไว้ในหน่วยงานขนาดใหญ่ส่งผลให้การเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะมีจำกัด ทำให้ประชาชนตรวจสอบต้นทุนที่แท้จริงของระบบไฟฟ้าได้ยาก
เราจะเปลี่ยนผ่านระบบไฟฟ้าไปสู่ตลาดเสรีที่แข่งขันได้และโปร่งใส ประชาชนเลือกได้ และรองรับพลังงานสะอาดในสัดส่วนสูงโดยมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ:
1. ราคาค่าไฟสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (True Cost Pricing) เปลี่ยนระบบราคาจากการผูกขาดมาเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนจริงผ่านระบบ โครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid) และข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้เห็นต้นทุนการผลิตตามช่วงเวลา ต้นทุนสายส่ง และความแออัดของโครงข่ายชัดเจนขึ้น
2. ปรับโครงสร้างตลาดแยกบทบาทให้ชัดเจน แยกบทบาทการผลิต การส่ง การควบคุม และการจำหน่ายออกจากกันเพื่อความโปร่งใส:
3. ประชาชนและธุรกิจมีสิทธิเลือกผู้ขายไฟ เปิดเสรีให้ผู้ใช้ไฟทุกระดับ ตั้งแต่ครัวเรือนไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม สามารถเปรียบเทียบและเลือกซื้อไฟฟ้าจากผู้ให้บริการที่พอใจได้ ทั้งในด้านราคา คุณภาพบริการ หรือเลือกแหล่งผลิตที่เป็นพลังงานสะอาด ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันจริงและทำให้ต้นทุนค่าไฟลดลงตามกลไกตลาด
4. สนับสนุนผู้ผลิตและผู้บริโภคในคนเดียว (Prosumer) ปรับกฎกติกาให้เอื้อต่อการผลิตไฟใช้เองผ่านโซลาร์รูฟท็อปหรือแบตเตอรี่ โดยผู้ใช้ไฟสามารถขายไฟส่วนเกินกลับเข้าระบบ หรือเช่าระบบสายส่งเพื่อขายไฟให้ผู้ใช้รายอื่นได้โดยตรง
แผนปฏิรูป 3 ระยะ สู่ตลาดไฟฟ้าเสรี
ระยะที่ 1 (ปี 2027–2030): ตั้งต้นระบบให้พร้อมก่อนเปิดแข่งขัน เป็นช่วงการเตรียมความพร้อมภายในเพื่อสร้างกติกาที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย:
แยกบทบาทการไฟฟ้า: เริ่มแยกหน้าที่การดูแลระบบ การส่ง และการขายไฟออกจากกัน เพื่อให้ผู้เล่นทุกรายแข่งขันภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
นำร่องกลุ่มอุตสาหกรรม: ให้ผู้ใช้ไฟรายใหญ่ (เช่น โรงงาน) เริ่มมีสิทธิเลือกซื้อไฟฟ้าจากผู้ขายที่เสนอราคาดีที่สุด
ทดลองตลาดเสรี: เปิดพื้นที่นำร่องที่มีผู้ขายไฟหลายรายแข่งขันกัน พร้อมลงทุนใน โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียน
ระยะที่ 2 (ปี 2031–2034): เปิดทางให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหม่แข่งขันได้จริง ขยายขอบเขตการแข่งขันให้กว้างขวางและหลากหลายยิ่งขึ้น:
สนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย: เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงานเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น
ทางเลือกที่หลากหลาย: ผู้ขายไฟฟ้าเอกชนจะเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ทำให้ประชาชนมีตัวเลือกทั้งไฟฟ้าสะอาด ไฟฟ้ารายวัน หรือไฟจากโซลาร์รูฟท็อป
ขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์: พัฒนาโครงข่ายรองรับการซื้อขายไฟในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ กรุงเทพฯ, ปริมณฑล และพื้นที่ EEC
ระยะที่ 3 (ปี 2035–2038): เปิดเสรีเต็มรูปแบบทั่วประเทศ ประชาชนเลือกผู้ขายไฟได้ทุกพื้นที่ บรรลุเป้าหมายตลาดไฟฟ้าเสรีที่ประชาชนมีอำนาจเลือก:
เลือกผู้ขายไฟได้เหมือนมือถือ: ประชาชนทุกคนในทุกพื้นที่สามารถเลือกผู้ให้บริการไฟได้เองตามราคาและบริการที่พอใจ
โครงข่ายอัจฉริยะเต็มรูปแบบ: ระบบไฟฟ้ารองรับทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (ขายไฟที่เหลืออยู่ในรถกลับคืนเข้าระบบได้) และการขายไฟคืนจากครัวเรือน/ธุรกิจรูปแบบใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
เสถียรภาพและราคาถูก: การแข่งขันที่สมบูรณ์และระบบที่โปร่งใสจะช่วยลดค่าไฟฟ้าของประเทศในระยะยาว และสร้างความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน