ยุติการใช้ถ่านหินในปี 2040

ปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน ปลดระวางถ่านหินปี 2040 (พ.ศ. 2583) ด้วยกลไกราคาคาร์บอนและกองทุนเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม เพื่อเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในระดับสากล

ยุติการใช้ถ่านหินในปี 2040

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

  1. พันธกรณีโลกและภาระต้นทุนคาร์บอน: ภายใต้แผนลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (ปี 2026-2035) และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ไทยต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างก้าวกระโดด หากล่าช้าภาคเศรษฐกิจจะต้องแบกรับต้นทุนคาร์บอนที่สูงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนของยุโรป (CBAM) หากไทยยังใช้ไฟฟ้าจากฟอสซิล สินค้าส่งออกของเราจะถูกเก็บภาษีเพิ่ม ทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
  2. วิกฤตสุขภาพและสิ่งแวดล้อมสะสม: โรงไฟฟ้าถ่านหินคือแหล่งกำเนิดหลักของก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM2.5 รวมถึงก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่กระทบคุณภาพอากาศโดยตรง การปล่อยมลพิษสะสมไม่เพียงทำให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรม แต่ยังสร้างต้นทุนด้านสาธารณสุขมหาศาลจากโรคทางเดินหายใจที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตประชาชน
  3. ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและการเปลี่ยนผ่านพื้นที่ยุทธศาสตร์: แหล่งถ่านหินในประเทศที่ลดลงบีบให้ต้องนำเข้าถ่านหินจากต่างประเทศมากขึ้นและยืดอายุของเทคโนโลยีล้าหลังออกไป รัฐจึงต้องเร่งวางแผนรองรับพื้นที่แม่เมาะ (ลำปาง) บางปะกง (ฉะเชิงเทรา) และสระบุรี เพื่อป้องกันเศรษฐกิจท้องถิ่นล่มสลายจากการปิดเหมืองแบบไร้ทิศทาง
  4. โอกาสการเข้าถึงเงินทุนสนับสนุนระดับโลก: ปัจจุบันมีกลไกการเงินสีเขียว เช่น ความร่วมมือเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (JETPs), กองทุนภูมิอากาศสีเขียว (GCF) และกองทุนเพื่อการลงทุนด้านภูมิอากาศ (CIFs) ที่พร้อมสนับสนุนประเทศที่มีแผนปลดระวางถ่านหินก่อนกำหนด (Early Coal Phase-Out) การประกาศทิศทางที่ชัดเจนจะช่วยให้ไทยดึงดูดเงินทุนมหาศาลมาช่วยลดภาระงบประมาณรัฐ

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนจะปรับปรุงระบบพลังงานและเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ผ่าน 4 แกนหลัก เพื่อประเทศไทยหยุดใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าภายในปี 2040 (พ.ศ. 2583) โดยยึดหลักความมั่นคงทางพลังงานควบคู่กับความยุติธรรมต่อประชาชนทุกภาคส่วน

แกนที่หนึ่ง ปักหมุดเป้าหมายไทยเป็นผู้นำอาเซียน 

  • ประกาศจุดยืนโลก: ตั้งเป้าให้ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ปลอดถ่านหินในการผลิตไฟฟ้า ภายในปี 2040

  • ให้คำมั่นสัญญา: เข้าร่วมความตกลง No New Coal Country Pledge เพื่อหยุดสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่อย่างเด็ดขาด

  • ดึงทุนโลกมาลงทุน: ใช้เวทีประชุมโลกร้อน COP30 และกลไก JETPs เจรจาดึงเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาช่วยปิดโรงไฟฟ้าก่อนกำหนด (Early Coal Phase-Out)

แกนที่สอง ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย 

  • ออก พ.ร.บ. ปลดระวางถ่านหิน: เพื่อกำหนดแผนการปิดโรงไฟฟ้าเป็นขั้นเป็นตอน ห้ามใช้ถ่านหินนำเข้าแทนถ่านหินในประเทศ และปรับบางแห่งให้เป็น โรงไฟฟ้าสำรองเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Reserve) เพื่อความมั่นคงยามฉุกเฉินเท่านั้น

  • เดินหน้า พ.ร.บ. มาตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: มีเนื้อหาสำคัญคือ

    • บังคับให้ทุกภาคส่วนต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG)

    • บังคับใช้กลไกราคาคาร์บอน ทั้งภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซฯ (ETS) เพื่อเปลี่ยนมลพิษให้เป็นต้นทุนที่ต้องจ่าย จูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับตัวสู่พลังงานสะอาด

    • จัดตั้ง กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อสนับสนุนโครงการลดคาร์บอนและช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง

แกนที่สาม ใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่าน 

  • เก็บภาษีนำเข้าถ่านหิน: ปรับอัตราภาษีให้สะท้อน "ต้นทุนแฝง" ด้านสุขภาพและมลพิษที่สังคมต้องแบกรับ

  • ใช้มาตรฐานนิยามสีเขียว (Thailand Taxonomy): กำหนดเกณฑ์ให้ธนาคารและตลาดทุนส่งเสริมเฉพาะธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

  • นวัตกรรมทางการเงิน: ระดมทุนผ่าน พันธบัตรสีเขียว (Green Bonds) และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำเงินมาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและระบบโครงข่ายอัจฉริยะ (Smart Grid)

แกนที่สี่ สร้างการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม 

  • เยียวยาพื้นที่ยุทธศาสตร์: ตั้งกองทุนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition Fund) เพื่อดูแลพื้นที่ที่พึ่งพาถ่านหินสูง เช่น แม่เมาะ, บางปะกง, สระบุรี

  • พัฒนาทักษะแรงงาน: ออกแบบแผนพัฒนาทักษะ (Reskilling/Upskilling) ฝึกอาชีพใหม่ให้แรงงานเดิมเข้าสู่อุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน (BCG)

  • ปรับปรุงอุตสาหกรรมหนัก: หนุนภาคผลิตซีเมนต์และเหล็กเข้าสู่ระบบ อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)

  • ยึดหลักสิทธิมนุษยชน: ดำเนินการตามมาตรฐานสากล หลักการชี้แนะเรื่องสิทธิมนุษยชนสำหรับธุรกิจ (UNGP) และ การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมของสหภาพยุโรป (EU Just Transition) เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมออกแบบการพัฒนาพื้นที่หลังการปลดระวางถ่านหิน

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

รัฐบาลพรรคประชาชนจะเปลี่ยนผ่านจากถ่านหินไปสู่ระบบพลังงานสะอาด โดย “ไม่ช็อกระบบไฟฟ้า ไม่ทิ้งแรงงาน และไม่ทำลายเศรษฐกิจท้องถิ่น” ออกแบบแผนแบ่งเป็น 3 ระยะ

ระยะที่ 1 (ปี 2025–2027): การวางรากฐานทางกฎหมายและข้อมูล

  • เป้าหมาย: เตรียมเครื่องมือและกติกาให้พร้อมก่อนเริ่มลดการใช้ถ่านหิน
  • มาตรการสำคัญ:
    1. บังคับใช้กฎหมายภูมิอากาศ: เริ่มใช้ พ.ร.บ. มาตรการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อจัดเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ และวางหลักการการกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) และ โครงสร้างกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund)
    2. กำหนดเส้นตายการเลิกถ่านหิน: จัดทำร่าง พ.ร.บ. ปลดระวางถ่านหิน เพื่อประกาศเป้าหมายเลิกใช้ถ่านหินในปี 2040 อย่างเป็นทางการ
    3. ควบคุมมลพิษเข้มงวด: ติดตั้งระบบตรวจวัดการปล่อยมลพิษแบบต่อเนื่อง (CEMS) ในโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงงานขนาดใหญ่ เพื่อคุมเข้มการก่อมลพิษทางอากาศและน้ำเสีย
    4. นำร่องการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม: ตั้ง กองทุนการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition Fund) ในพื้นที่แม่เมาะ บางปะกง และสระบุรี พร้อมเริ่มโครงการฟื้นฟูเหมืองและเปลี่ยนโรงไฟฟ้าเก่าเป็นพลังงานสะอาด (Solar/RE-for-Coal Swap)

ระยะที่ 2 (ปี 2028–2030): การขับเคลื่อนกลไกการเงินสีเขียว

  • เป้าหมาย: ทำให้การเลิกใช้ถ่านหินเกิดขึ้นจริงด้วยกลไกราคาและการลงทุน

  • มาตรการสำคัญ:

    1. เปิดตลาดคาร์บอนเต็มรูปแบบ: เริ่มใช้ระบบจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และตลาดซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซฯ (ETS) ครอบคลุมภาคพลังงานฟอสซิลและอุตสาหกรรมหลัก โดยมี ฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับชาติ เป็นตัวกลางในการตรวจวัดและจัดเก็บมลพิษอย่างเป็นธรรมตามปริมาณที่ปล่อยจริง
    2. ขยายโครงการเปลี่ยนเหมืองและโรงไฟฟ้าเก่าเป็นพลังงานสะอาด (Solar/RE-for-Coal Swap)
    3. ระดมทุนจากต่างประเทศ: ใช้เครื่องมือทางการเงินแบบผสมผสาน (Blended Finance) และความร่วมมือ JETPs เพื่อหาทุนดอกเบี้ยต่ำมาสนับสนุนการปิดโรงไฟฟ้าก่อนกำหนด
    4. สร้างงานใหม่ในพื้นที่: เร่งแผนพัฒนาทักษะให้แรงงานเดิม และดึงกลุ่มธุรกิจ SMEs เข้ามาอยู่ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมสะอาดและเศรษฐกิจ BCG

ระยะที่ 3 (ปี 2031–2040): การก้าวสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเต็มรูปแบบ

  • เป้าหมาย: ไทยเลิกใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าได้ 100% และเชื่อมโยงกับกติกาการค้าระหว่างประเทศ

  • มาตรการสำคัญ

    1. ปิดจบโรงไฟฟ้าถ่านหิน: ทยอยปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมดภายในปี 2040 โดยปรับบางแห่งให้เป็นโรงไฟฟ้าสำรอง พร้อมควบคุมมลพิษอย่างเข้มงวด
    2. สร้างเมืองแห่งอนาคต: เปลี่ยนพื้นที่เหมืองและโรงไฟฟ้าเดิมให้เป็น เมืองพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy City) และศูนย์กลางอุตสาหกรรม BCG Cluster
    3. ยกระดับสู่มาตรฐานสากล: เชื่อมโยงระบบคาร์บอนของไทยกับมาตรการ CBAM ของยุโรป เพื่อให้สินค้าไทย (เช่น ซีเมนต์ และเหล็ก) ส่งออกได้ทั่วโลกโดยไม่ถูกกีดกัน และสอดคล้องกับมาตรฐานแผนการปฏิรูปสีเขียวของสหภาพยุโรป (EU Green Deal)