เงินนอกงบประมาณ คือเงินที่หน่วยงานรัฐจัดเก็บหรือได้รับไว้เป็นกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายโดยไม่ต้องนำส่งคลัง (เช่น เงินรายได้, เงินบริจาค, เงินกู้) ซึ่งโดยปกติจะต้องปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด
อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานเดียวในประเทศไทยที่มีอภิสิทธิ์ในการแบ่งเงินนอกงบประมาณออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่:
1. เงินนอกงบประมาณประเภทที่ 1: เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการดำเนินงานที่มีการรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรในวาระพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีตามปกติ กิจการในกลุ่มนี้ ได้แก่:
ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ (บ่อน้ำมันฝาง)
โครงการพัฒนาเมืองการบินภาคตะวันออก (EEC)
โรงงานเภสัชกรรมทหาร
เงินทุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
โรงพยาบาลและสถานศึกษาของกองทัพ
2. เงินนอกงบประมาณประเภทที่ 2: เป็นเงินประเภทพิเศษที่มีเฉพาะในกระทรวงกลาโหม อาศัยอำนาจตาม ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงิน พ.ศ. 2554 (ฉบับแก้ไขปรับปรุง) อนุญาตให้กองทัพออกกฎระเบียบบริหารจัดการและตรวจสอบกันเอง โดยไม่อยู่ภายใต้การกำกับของหน่วยงานภายนอก กิจการหลักในกลุ่มนี้คือ:
สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5)
กิจการคลื่นวิทยุกองทัพ
รายได้จากการให้เช่าโครงข่ายโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล (MUX)
เงินนอกงบประมาณประเภทที่ 2 จึงเปรียบเสมือน "แดนสนธยา" ที่มืดดำที่สุดของกองทัพและระบบงบประมาณไทย ด้วยเหตุผลดังนี้:
ขาดการตรวจสอบจากภายนอก: กองทัพบกมีรายได้มหาศาลจากกิจการเหล่านี้ แต่กลับไม่อยู่ในการตรวจสอบของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือสภาผู้แทนราษฎร
ปกปิดข้อมูลต่อสภา: แม้ ททบ.5 จะเป็นสื่อสาธารณะเพื่อความมั่นคงที่ใช้คลื่นความถี่สมบัติชาติ แต่กลับไม่เคยเปิดเผยงบการเงิน คณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณรายจ่ายประจำปี ได้ร้องขอข้อมูลต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ถึง 2568 แต่กองทัพบกเพิกเฉยและไม่เคยนำส่ง
ความผิดปกติของผลประกอบการ: กิจการ ททบ.5 มีรายได้จากการให้เช่าโครงข่ายทีวีดิจิทัล (MUX5 และ MUX7) ซึ่งควรเป็นรายได้แบบ "เสือนอนกิน" เฉลี่ยปีละ 700-800 ล้านบาท แต่ผู้แทน ททบ.5 กลับชี้แจงว่ากิจการขาดทุนต่อเนื่อง
ไร้ความโปร่งใสยาวนาน: ททบ.5 ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 แต่ไม่เคยมีรายงานผลประกอบการที่ตรวจสอบได้ต่อสาธารณะเลยตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี
พรรคประชาชนเสนอให้ ยกเลิกเงินนอกงบประมาณประเภทที่ 2 ทั้งหมด เพื่อ:
1. ยุติแดนสนธยา: ปิดช่องโหว่ทางกฎหมายที่เอื้อให้กองทัพสร้าง "ระบบเศรษฐกิจอิสระ" และเป็นแหล่งผลประโยชน์ทับซ้อนของนายพลระดับสูง
2. สร้างธรรมาภิบาล: ดึงกิจการพาณิชย์ของกองทัพกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลและระบบการคลังปกติ ตามหลักการรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ
3. ความโปร่งใส: ทำให้รายได้และรายจ่ายทุกบาททุกสตางค์ของกองทัพ ต้องถูกตรวจสอบได้โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสภาผู้แทนราษฎร เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐอื่น
1. ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร: รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้อำนาจตามกฎหมายดำเนินการแก้ไข “ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการเงิน” เพื่อยกเลิกบทบัญญัติที่ให้อำนาจจัดตั้งและบริหารเงินนอกงบประมาณประเภทที่ 2
2. โอนรายได้เข้าแผ่นดิน: กำหนดให้รายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกิจการที่เคยเป็นเงินนอกงบประมาณประเภทที่ 2 (เช่น รายได้จาก ททบ.5, ค่าเช่า MUX, ค่าโฆษณา, ค่าเช่าคลื่นวิทยุ) ต้องถูกจัดเก็บและนำส่งเป็น รายได้แผ่นดิน เข้ากระทรวงการคลังอย่างถูกต้องครบถ้วน