“Offset Policy” เปลี่ยนซื้อแล้วจบเป็นซื้อเทคโนโลยี

ใช้การจัดซื้อต่างประเทศ แลกกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและลงทุนในไทย เพื่อสร้างงานทักษะสูง ยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้แข่งขันได้

“Offset Policy” เปลี่ยนซื้อแล้วจบเป็นซื้อเทคโนโลยี

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ในแต่ละปีงบประมาณ ภาครัฐไทยมีการใช้จ่ายมหาศาลเพื่อจัดซื้อจัดจ้างโครงการขนาดใหญ่และเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น ยุทธภัณฑ์ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน หรือระบบดิจิทัล แต่ที่ผ่านมามักประสบปัญหาสำคัญคือ:

การสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ: งบประมาณจำนวนมากไหลออกนอกประเทศเนื่องจากเป็นการจัดหาจากต่างประเทศ โดยขาดกลไกควบคุมที่จะนำไปสู่การส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ขาดการถ่ายทอดเทคโนโลยี: ด้วยข้อจำกัดด้านอำนาจต่อรองและการขาดนโยบายที่ชัดเจน ทำให้ไทยไม่สามารถใช้การจัดซื้อจัดจ้างนี้เป็นเครื่องมือในการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยได้ ส่งผลให้เรายังคงเป็นเพียง "ผู้ซื้อ" ที่ต้องพึ่งพาต่างชาติต่อไป

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนเสนอให้ดำเนิน นโยบายชดเชยทางเศรษฐกิจ (Offset Policy) เพื่อเปลี่ยนสถานะของการใช้จ่ายภาครัฐจากการจัดซื้อทั่วไปให้กลายเป็นการ “ลงทุนระยะยาวเชิงรุก” โดยมีเป้าหมายหลักดังนี้:

1. เปลี่ยนการจัดซื้อเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต

มุ่งเปลี่ยนโครงการรัฐประเภท “ซื้อแล้วจบ” ให้เป็นการสร้างรากฐานเศรษฐกิจ ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม สร้างงานที่มีคุณภาพ และสร้างความยั่งยืนให้แก่เศรษฐกิจไทยในระยะยาว

2. กำหนดเป็นเงื่อนไขภาคบังคับ (Mandatory Offset Policy)

กำหนดให้นโยบายชดเชยเป็นเงื่อนไขภาคบังคับในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ โดยคู่สัญญาจากต่างประเทศต้องดำเนินกิจกรรมความร่วมมือทางเศรษฐกิจควบคู่ไปด้วย ได้แก่:

• การถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer)

• การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development - R&D)

• การผลิตและการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content)

• การพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Development)

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

ตรา พระราชบัญญัติความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนาอุตสาหกรรม พ.ศ. … และจัดทำคู่มือแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

1. กลไกการบริหารจัดการ

• มอบหมายให้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นหน่วยงานธุรการและที่ปรึกษาหลักในการวิเคราะห์และเสนอนโยบาย

• จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายเพื่อกำหนดระเบียบและขับเคลื่อนโครงการในแต่ละอุตสาหกรรมเป้าหมาย

2. กำหนดขอบเขตและเกณฑ์งบประมาณ

• อุตสาหกรรมเป้าหมาย: ระยะแรกเน้นกลุ่ม อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอนาคต (New Engine of Growth / S-Curve) รวม 11 กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำหนดโดย สศช.

• เกณฑ์มูลค่าโครงการ: โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ต้องจัดทำกิจกรรมชดเชยทางเศรษฐกิจ

• สัดส่วนการชดเชย: กำหนดมูลค่ากิจกรรมการชดเชยเพิ่มเติมจากงบประมาณโครงการไว้ที่ 20% ของมูลค่าโครงการ

3. มาตรฐานการดำเนินงาน

• กำหนด ตัวคูณทางการชดเชย (Offset Multiplier) ซึ่งเปรียบเสมือนมาตรการลดแลกแจกแถมสำหรับกิจกรรมแต่ละประเภท เพื่อคำนวณ มูลค่าเครดิตการชดเชย (Credit Value) ขั้นต่ำของโครงการ ช่วยให้สามารถประเมินข้อเสนอของคู่สัญญาได้อย่างเป็นธรรม

• วางระบบตั้งแต่การทำคำของบประมาณ การประเมินข้อเสนอ กระบวนการทำสัญญา การวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไปจนถึงบทปรับและลงโทษหากไม่ปฏิบัติตามสัญญา

• กำหนดคุณสมบัติและจัดทำฐานข้อมูลองค์กรรับมอบ (Local Recipients) ทั้งในภาครัฐ สถาบันการศึกษา และเอกชนไทย เพื่อรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี

4. การจัดสรรงบประมาณรองรับ

จัดทำงบประมาณแผ่นดินให้สอดคล้องกับเกณฑ์และสัดส่วนการลงทุนที่กำหนด เพื่อให้หน่วยงานเจ้าของโครงการมีทรัพยากรเพียงพอในการบริหารจัดการการชดเชยทางเศรษฐกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์