การพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นทั้งความจำเป็นทางยุทธศาสตร์และความมั่นคง รวมถึงเป็นโอกาสในการสร้างเครื่องยนต์ใหม่ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยผ่านปัจจัยดังนี้:
1. วิกฤตงบประมาณและความพร้อมรบ: งบประมาณกลาโหมปี 2569 กว่า 200,000 ล้านบาท ถูกใช้เป็นงบบุคลากรถึง 53% (กองทัพใช้แรงงานเข้มข้นสูง) ขณะที่งบลงทุนของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศในการวิจัยและพัฒนามีเพียง 0.3% นอกจากนี้ ยุทโธปกรณ์ของกองทัพหลายรายการมีอายุการใช้งานสูง ส่งผลให้ต้องแบกภาระซ่อมบำรุงยุทโธปกรณ์เก่า ควบคู่ไปกับการจัดหายุทโธปกรณ์ใหม่ที่ทันสมัย ภายใต้โครงสร้างงบประมาณที่ยังขาดประสิทธิภาพ
2. โอกาสจากแผนลงทุนมหาศาล: ระหว่างปี 2566-2580 กองทัพเรือมีแผนลงทุนสูงถึง 175,236 ล้านบาท การลงทุนนี้ไม่ควรเป็นเพียง "รายจ่าย" แต่ต้องเปลี่ยนเป็น "การจ้างงานทักษะสูง" และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานในประเทศ
3. ศักยภาพเอกชนไทยที่รอการสนับสนุน: ไทยมีบริษัทที่ส่งออกรถหุ้มเกราะไปกว่า 46 ประเทศ มีอู่ต่อเรือที่รองรับระวางได้ถึง 180,000 ตัน และมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีโดรน (UAV) ที่พร้อมเติบโต หากรัฐเปลี่ยนบทบาทจากผู้ซื้อเป็นผู้ส่งเสริม
เป้าหมายหลักคือการ "พึ่งพาตนเองได้" ในการวิจัยและผลิตยุทโธปกรณ์ เพื่อสนับสนุนความพร้อมรบและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย ดังนี้:
1. การจัดสรรทรัพยากรและการพึ่งพาตนเอง
จัดสรรงบประมาณใหม่โดยเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีมากกว่าบุคลากร เพื่อเพิ่ม อธิปไตยทางเทคโนโลยีความมั่นคง (Defense Technology Sovereignty) และลดการพึ่งพาต่างชาติ
2. การสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและการส่งออก
ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ และสร้างนวัตกรรมที่ใช้ได้ทั้งในกองทัพและภาคธุรกิจทั่วไป (Dual-Use) เช่น โดรน แบตเตอรี่ขั้นสูง และดาวเทียม
3. การเลือกยุทโธปกรณ์เป้าหมายด้วย เกณฑ์สามด้าน (Triple Criteria)
มุ่งเน้นส่งเสริมยุทโธปกรณ์ที่มีองค์ประกอบครบ 3 ด้าน คือ:
• มีความต้องการเชิงยุทธศาสตร์และตอบโจทย์ภัยคุกคาม
• ภาครัฐและเอกชนไทยมีขีดความสามารถที่จะพัฒนาต่อยอดได้
• ตลาดนานาชาติมีความต้องการ เพื่อความคุ้มค่าในการวิจัยและพัฒนา
1. มาตรการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
• สัดส่วนจัดซื้อภายในประเทศ: กำหนดให้กองทัพจัดซื้อจากเอกชนไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของงบจัดซื้อยุทโธปกรณ์ สำหรับสินค้าในบัญชีนวัตกรรมไทยและได้มาตรฐานกระทรวงกลาโหม
• แต้มต่อสินค้าไทย: เพิ่มแต้มต่อสำหรับสินค้าที่ ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand - MiT) ในการเสนอราคาต่อภาครัฐจาก 5% เป็น 10%
• โครงการขนาดใหญ่: ส่งเสริมการรวมกลุ่มบริษัท (Consortium) เพื่อผลิตยุทโธปกรณ์ เช่น เรือฟริเกตภายในประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขการใช้ ข้อกำหนดการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content Requirement)
2. การใช้กลไกชดเชยทางเศรษฐกิจ
เมื่อต้องซื้อยุทโธปกรณ์มูลค่าสูงจากต่างชาติ รัฐต้องทำ นโยบายชดเชยภาคบังคับ (Mandatory Offset Policy) เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการ ร่วมผลิต (Co-Production) ภายในประเทศ
3. การปฏิรูปและลดอุปสรรคทางการค้า
• ทบทวนมาตรการภาษี: ปรับปรุงภาษีนำเข้าวัตถุดิบหลักเพื่อให้การประกอบในประเทศมีราคาถูกกว่าการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป
• การอำนวยความสะดวก: แก้ไขกฎหมายโรงงานผลิตอาวุธเพื่อลดระยะเวลาขออนุญาตส่งออก และตราพระราชบัญญัติมาตรฐานยุทโธปกรณ์เพื่อรับรองคุณภาพให้เทียบเท่า มาตรฐานทางทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา (Military Standard - MIL-STD) หรือ มาตรฐานขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization Standardization Agreement - NATO STANAG)
4. การส่งเสริมวิจัยและพัฒนา และทางการเงิน
• วิจัยภาครัฐ: พัฒนาหน่วยงานวิจัยของรัฐ (Public Research Institute - PRI) ให้รับความเสี่ยงในช่วงเริ่มต้นเหมือนโมเดล สำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงด้านการป้องกันประเทศของสหรัฐอเมริกา (Defense Advanced Research Projects Agency - DARPA)
• เงินกู้นโยบาย: จัดให้มี สินเชื่อตามนโยบายรัฐ (Policy Loan) เพื่อช่วยสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการในโครงการขนาดใหญ่
5. การปฏิรูปเชิงระบบและการเชื่อมโยงแผน
• รวมศูนย์การจัดหาอาวุธ: ไว้ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อความมั่นใจวน่าการจัดซื้อเป็นไปตามนโยบายภาพรวม
• การเชื่อมโยงแผน: บูรณาการแผนกองทัพและแผนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเข้าด้วยกัน เช่น โมเดลของ สถาบันวิเคราะห์การป้องกันประเทศแห่งเกาหลี (Korea Institute for Defense Analyses - KIDA) ทำงานร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเกาหลี (Korea Defense Industry Association) เป็นต้น
• การส่งเสริมการส่งออก: จัดตั้งคณะกรรมการทีมไทยแลนด์ คณะกรรมการส่งเสริมผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับต่างประเทศ (TEAM THAILAND) และปรับบทบาทผู้ช่วยทูตทหารให้ช่วยส่งเสริมการตลาดในต่างประเทศอย่างจริงจัง