ปัญหาที่ดินทับซ้อนระหว่างรัฐและประชาชนมีรากฐานมาจากความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะการประกาศเขตหวงห้ามเพื่อความมั่นคงในช่วง พ.ศ. 2479–2484 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 4.6 ล้านไร่ ทั่วประเทศ การประกาศในยุคนั้นใช้แผนที่มาตราส่วนหยาบที่ไม่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่จริง ทำให้แนวเขตคลาดเคลื่อนและทับซ้อนกับชุมชนที่อยู่อาศัยมาก่อน ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 1.2 ล้านครัวเรือน ที่ไม่สามารถพิสูจน์สิทธิได้
ตัวอย่างความรุนแรงของปัญหาในระดับพื้นที่:
จังหวัดกาญจนบุรี: มีพื้นที่หวงห้ามสูงถึง 3,081,600 ไร่ โดยพบว่ามีพื้นที่ที่ประชาชนใช้ประโยชน์มาก่อนประกาศทับซ้อนอยู่กว่า 59,000 ไร่ ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 23,000 คน
จังหวัดนครนายก: มีพื้นที่ทับซ้อนกับชุมชนกว่า 52,000 ไร่ และมีประชากรได้รับผลกระทบกว่า 14,000 คน
สาเหตุหลักเกิดจากการขาดระบบข้อมูลกลางและการกำกับดูแลที่กระจายหลายหน่วยงาน ทำให้รัฐไม่สามารถประเมินความจำเป็นในการถือครองที่ดินได้อย่างเป็นระบบ นำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งเรื้อรัง จึงจำเป็นต้องมีนโยบายจัดระเบียบข้อมูลและสร้างกระบวนการพิสูจน์สิทธิที่เป็นธรรม เพื่อให้ที่ดินราชพัสดุตอบสนองต่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
พรรคประชาชนต้องการให้การใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุมีความเท่าเทียม เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ ทั้งต่อประชาชนและหน่วยงานรัฐ ผ่านมาตรการหลักดังนี้:
1. ปฏิรูประบบการถือครอง: ใช้ระบบสัญญาเช่าแบบกำหนดระยะเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการและจัดระเบียบผู้ใช้ประโยชน์บนที่ดินราชพัสดุ
2. ดึงมืออาชีพบริหารจัดการ: ให้ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) เข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ของหน่วยงานรัฐ เพื่อจำกัดงบประมาณการก่อสร้างอาคารสำนักงาน และเปลี่ยนเป็นระบบเช่าใช้จาก ธพส. แทน
3. คืนที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะ: ที่ดินราชพัสดุที่ กรมธนารักษ์ ได้รับคืนจากกองทัพ จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใช้เพื่อสาธารณประโยชน์, จัดสรรให้ประชาชนรายย่อยประกอบอาชีพ และพัฒนาเชิงพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมตามความเหมาะสมของพื้นที่
1. ยกระดับศูนย์สารสนเทศที่ราชพัสดุ
ยกระดับศูนย์สารสนเทศของ กรมธนารักษ์ ให้เป็นฐานข้อมูลกลางตามมาตรฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ จัดเก็บพิกัดแปลงที่ดิน ข้อมูลเอกสารที่ดินที่เกี่ยวข้อง และประวัติการใช้ประโยชน์อย่างละเอียด พร้อมเผยแพร่ในรูปแบบ ข้อมูลเปิด (Open Data) เพื่อความโปร่งใสและใช้เป็นฐานในการตัดสินใจเชิงนโยบายที่แม่นยำ
2. เร่งรัดการสำรวจที่ดินโดยภาคเอกชน
เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านบุคลากร รัฐจะเปิดให้เอกชนที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาสำรวจที่ดินราชพัสดุภายใต้มาตรฐานเดียวกับศูนย์สารสนเทศ โดยข้อมูลที่สำรวจต้องผ่านการรับรองจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้มีความเที่ยงตรงและลดความล่าช้าทั่วประเทศ
3. บริหารการใช้ประโยชน์ผ่านสัญญาเช่า 2 ประเภท
แบ่งสัญญาเช่าเพื่อการกำกับดูแลที่ชัดเจน (ต่อสัญญาทุก 5 ปี):
• สัญญาประเภท 1: สำหรับหน่วยงานรัฐที่ใช้ประโยชน์ในภารกิจราชการโดยตรง (ไม่เก็บค่าเช่า)
• สัญญาประเภท 2: สำหรับหน่วยงานรัฐที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ รวมถึงภาคเอกชนและประชาชน (เก็บค่าเช่าเข้ากรมธนารักษ์)
วิธีนี้จะช่วยลดพื้นที่รกร้างและนำประชาชนเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องด้วยอัตราค่าเช่าที่เหมาะสม
4. ปรับบทบาท บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.)
เปลี่ยนจากการของบประมาณก่อสร้างอาคารสำนักงานของหน่วยงานรัฐ เป็นการให้ ธพส. เป็นผู้จัดหาและให้บริการเช่าใช้อาคารแทน เพื่อลดภาระงานจัดซื้อจัดจ้างด้านโยธาของภาครัฐและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณ
5. จัดการพื้นที่คืนจากหน่วยงานรัฐ
พื้นที่ที่หมดความจำเป็นต่อภารกิจกองทัพจะถูกส่งคืนเพื่อพัฒนาตามศักยภาพ เช่น เป็นพื้นที่บริการสาธารณะ หรือโครงการเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยอาศัยผลการสำรวจที่ดินที่ได้รับการรับรองจากทุกฝ่าย
6. วางระบบพิสูจน์สิทธิด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์
เพิ่มกระบวนการพิสูจน์สิทธินอกเหนือจากภาพถ่ายทางอากาศ เพื่อลดข้อโต้แย้งระหว่างรัฐและประชาชน โดยใช้ 4 วิธีประกอบกัน: 1) พฤกษศาสตร์ 2) โบราณคดี 3) วิธีทางเอกสาร และ 4) ธรณีวิทยา โดยเปิดให้ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ