คืนผู้พ้นโทษสู่สังคมด้วยการลดหย่อนภาษีนายจ้าง

สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนร่วม "คืนคนสู่สังคม" ผ่านมาตรการภาษีและเงินอุดหนุนจ้างงาน เพื่อให้ผู้พ้นโทษมีรายได้เลี้ยงชีพและไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำ

คืนผู้พ้นโทษสู่สังคมด้วยการลดหย่อนภาษีนายจ้าง

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ความกังวลหลักของผู้ต้องขังเมื่อพ้นโทษคือการขาดโอกาสทางอาชีพและการเงิน ซึ่งอาจนำไปสู่การกระทำผิดซ้ำและกลับเข้าสู่วงจรเดิม  สิ่งนี้ทำให้รัฐยังคงต้องแบกรับภาระงบประมาณในการบริหารจัดการเรือนจำต่อไป การสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมรับผิดชอบการ "คืนคนสู่สังคม" จึงเป็นกุญแจสำคัญที่แท้จริงในการลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ

แม้รัฐจะมีมาตรการภาษีสำหรับบริษัทที่จ้างงานผู้พ้นโทษอยู่แล้ว (ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 774 พ.ศ. 2566) แต่ยังมีปัญหาใหญ่ที่ทำให้มาตรการไม่ได้ผล:

  1. กฎหมายไม่ครอบคลุมการฝึกอบรม: บทบัญญัติเดิม ยังไม่ครอบคลุมการฝึกอบรมอาชีพแก่ผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจำ ทำให้ผู้ต้องขังขาดการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยตัว
  2. ปัญหาการบังคับใช้จริง: บุคลากรและเจ้าหน้าที่สรรพากรในแต่ละพื้นที่ ขาดความรู้ความเข้าใจในบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ ส่งผลให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่ได้รับสิทธิประโยชน์จริงตามกฎหมาย
  3. ขาดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ: เมื่อนิติบุคคลไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง จึง ขาดแรงจูงใจ ในการเข้ามาฝึกอบรมอาชีพ ฝึกงาน และจ้างงานผู้ต้องขัง/ผู้พ้นโทษอย่างต่อเนื่อง

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนจะสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจแก่ภาคเอกชน บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้เข้ามาฝึกอบรมอาชีพ ฝึกงาน และจ้างงานผู้ต้องขังและผู้พ้นโทษ เพื่อลดอัตราการกระทำผิดซ้ำ โดยมีข้อเสนอในการประกันการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการภาษี ดังนี้

  1. สิทธิในการลงรายจ่ายทางภาษีได้ 2 เท่า (สำหรับนิติบุคคล)
    • บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยสามารถ ลงรายจ่ายได้ 2 เท่า (หักเพิ่มได้ 100%) หากมีการฝึกอบรมอาชีพให้กับ ผู้ต้องขัง (ที่อยู่ในเรือนจำ) ไม่น้อยกว่า 120 ชั่วโมง/ปี
  2.  รัฐอุดหนุนเงินเดือนให้ 50% 
    • บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะได้รับสิทธิประโยชน์ เมื่อรับผู้พ้นโทษเข้าทำงาน โดยรัฐจะอุดหนุนเงินเดือนให้ครึ่งหนึ่ง โดยสูงสุดไม่เกิน 8,000 บาท/เดือน เป็นเวลาสูงสุดไม่เกิน 6เดือน ให้กับการจ้างผู้พ้นโทษ
  3. การประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูล 
    • กรมสรรพากรต้องประชาสัมพันธ์ พร้อมให้ข้อมูลและ กำชับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของกรมสรรพากรในทุกพื้นที่ เกี่ยวกับการให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการภาษีสำหรับนิติบุคคล เพื่อให้นโยบายถูกนำไปปฏิบัติจริงอย่างทั่วถึง

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

  1. ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกา
    • ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 774) พ.ศ. 2566 เพื่อขยายขอบเขตสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับนิติบุคคลให้ครอบคลุมเงื่อนไขตามกรณีข้างต้น
  2. กรมสรรพากรดำเนินการ
    • กรมสรรพากรออกหนังสือไปยังสำนักงานสรรพากรในทุกพื้นที่ เพื่อให้ข้อมูลและกำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้ปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาฉบับปรับปรุงใหม่อย่างถูกต้อง
  3. กรมราชทัณฑ์สนับสนุนข้อมูลและเอกสาร
    • กรมราชทัณฑ์จัดทำระบบเก็บข้อมูลชั่วโมงการฝึกอบรมอาชีพของนิติบุคคล ให้แก่ผู้ต้องขัง และ รับรองเอกสาร สำหรับให้นิติบุคคลสามารถใช้สิทธิประโยชน์มาตรการภาษีกับสำนักงานสรรพากรในแต่ละพื้นที่ได้
    • จัดทำกฎหมายอนุบัญญัติ เพื่อรับรองสิทธิประโยชน์มาตรการภาษีสำหรับนิติบุคคล รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ต้องขังที่สอดคล้องกับเงื่อนไขข้างต้น และทำ MOU ร่วมกับภาคเอกชน ให้ผู้พ้นโทษได้รับการจ้างงาน