ระบบบริการสุขภาพใน กทม. ดูแลประชากรกว่า 7 ล้านคน ครึ่งหนึ่งเป็นสิทธิบัตรทอง แม้จะมีทรัพยากรมากกว่าพื้นที่อื่น แต่กำลังประสบปัญหาสำคัญที่กระทบต่อการให้บริการประชาชน
1. ขาดเจ้าภาพ: ระบบสุขภาพ กทม. มีหลายหน่วยงาน (เช่น กทม., สาธารณสุข, โรงเรียนแพทย์, เอกชน) แต่ทำงานแยกส่วน ขาดการทำงานในลักษณะเครือข่าย ประชาชนจึงนิยมเข้าโรงพยาบาลใหญ่โดยตรงมากกว่ารับบริการที่หน่วยปฐมภูมิ เช่น ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือคลินิกชุมชนอบอุ่น
2. ขาดประสิทธิภาพ:
ต้นทุนค่าดำเนินการสูงกว่าพื้นที่อื่น แต่งานส่งเสริมป้องกันเชิงรุกและดูแลระยะยาวทำได้ยากและไม่ทั่วถึง
ผลสำรวจการตรวจสุขภาพของ กทม. ปี 2568 พบว่า เกินครึ่ง ของผู้ที่ตรวจสุขภาพมีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น ไขมัน/ความดันโลหิตสูง และมีผู้ป่วยเบาหวานใน กทม. ที่ไม่ได้รับการรักษาสูงถึง 10.7% ซึ่งสูงกว่าพื้นที่อื่นอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งที่มีทรัพยากรมากกว่า
3. ระบบปฐมภูมิอ่อนแอ ไม่สามารถเป็นด่านหน้าได้จริง:
คลินิกชุมชนอบอุ่นจำนวนมากขาดทุนและปิดตัวลง
ไม่มีทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่ทำงานส่งเสริมป้องกันเชิงรุก
ศูนย์บริการสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยน้อยลง ขาดงบพัฒนา ขาดบุคลากร ประชาชนไม่เชื่อมั่น
พรรคประชาชนจะปฏิรูปเพื่อสร้างระบบสุขภาพ กทม. ที่มีเจ้าภาพชัดเจนและทำงานเป็นเครือข่าย โดยมีข้อเสนอหลักดังนี้:
1. มีเจ้าภาพชัดเจน: เปลี่ยนให้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยโอนอำนาจการบริหารจัดการงบประมาณบัตรทองทั้งหมดมาอยู่ที่ กทม.
2. ปฏิรูปงบประมาณ: กำหนดงบประมาณบัตรทองใหม่ ให้ สอดคล้องกับต้นทุนที่แตกต่างกัน ของพื้นที่ กทม. และเชื่อมโยงข้อมูลต้นทุนของการบริการทั้งเครือข่าย
3. พัฒนาเครือข่าย “คลัสเตอร์บริการเชิงพื้นที่" (Area-based Cluster) ที่เชื่อมโยงโรงพยาบาลตติยภูมิของทุกหน่วยงาน (แม่ข่าย) เข้ากับหน่วยบริการปฐมภูมิ ทั้งของรัฐและของเอกชน รวมถึงหน่วยนวัตกรรม (เครือข่าย) ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ กำหนดการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยให้ชัดเจนว่าหน่วยบริการปฐมภูมิใดต้องจับคู่กับโรงพยาบาลใด
4. เพิ่มศักยภาพภาครัฐ: สร้างโรงพยาบาลเพิ่มในพื้นที่ขาดแคลน และ ปรับปรุง/อัพเกรด ศูนย์บริการสาธารณสุข โดยเน้นงาน ส่งเสริมป้องกันโรค (Preventive Care) และดูแลผู้ป่วยซับซ้อน (NCDs, ผู้ป่วยระยะกลาง/ระยะยาว/ระยะยาวท้าย, ผู้ป่วยจิตเวช)
จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายและการปรับกลไกการบริหารจัดการ ดังนี้:
แก้ไขกฎหมาย:
แก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง อำนาจคณะกรรมการ กองทุนและการจัดสรรงบ และเขตบริการสุขภาพ
แก้ไข พ.ร.บ. กทม. เรื่องอำนาจผู้ว่า หน่วยงาน และกลไกการกำกับตรวจสอบ
ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการ: ตั้งคณะกรรมการของ กทม. ซึ่งมีทุกภาคส่วนร่วม เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ กำหนดนโยบาย และกำกับดูแล
จัดตั้ง “คลัสเตอร์บริการเชิงพื้นที่" (Area-based Cluster):
เจรจาจัด “คลัสเตอร์บริการ” (cluster) ร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่ายทุกสังกัด คล้าย นพรัตน์ Model
นำร่อง 1 แห่งในปีแรก และขยายผลให้ครอบคลุม กทม. ภายใน 4 ปี (กำหนดให้ครอบคลุมประชากรคลัสเตอร์บริการละ 150,000-250,000 คน)
พัฒนาระบบข้อมูลและต้นทุน: เร่งทำมาตรฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยและหน่วยบริการให้เสร็จสิ้น โดยศึกษาต้นทุนใหม่ให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2571
เพิ่มโรงพยาบาลรัฐ: สร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ยังมี “แม่ข่าย” ไม่เพียงพอ หรือโรงพยาบาลทุติยภูมิ โดยเพิ่มจากแผนในปัจจุบันอีก 1,700 เตียง ใช้งบประมาณ 8,500 ล้านบาท
สนับสนุนหน่วยบริการปฐมภูมิด้วย Outcome Base:
สนับสนุนงบประมาณเพิ่มให้หน่วยบริการปฐมภูมิ
ปรับแรงจูงใจ (Incentive) เป็นแบบ มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome Base) เพื่อให้หน่วยปฐมภูมิทำงานเชิงรุกด้านส่งเสริมป้องกันและดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
งบลงทุน 700 ล้านบาท และงบดำเนินการเพิ่มปีละ 1,000 ล้านบาท
กำหนดมาตรฐานยา: ตั้งมาตรฐานการเบิกจ่ายยาของทุกหน่วยบริการให้เหมือนกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับยามาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะเข้ารับบริการที่ใด