ฟื้นด่านหน้าสุขภาพไทย

ฟื้นด่านหน้าสุขภาพไทย

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ระบบสุขภาพปฐมภูมินอก กทม. กำลังเผชิญปัญหาหลัก 3 เรื่อง ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและเป็นภาระต่อโรงพยาบาล:

1. คุณภาพบริการลดลงหลังการถ่ายโอน: แม้จะมีการถ่ายโอน รพ.สต. ไปยังองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น แล้วกว่า 5,341 แห่ง (54%) แต่ผลการประเมินกลับพบว่า คุณภาพบริการปฐมภูมิในพื้นที่ส่วนใหญ่ลดลงเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ยังไม่ถ่ายโอน โดยเฉพาะงานดูแลโรคเรื้อรัง การคัดกรองกลุ่มเสี่ยง และการควบคุมโรค 

2. โรงพยาบาลแบกภาระ: ประชาชนลดการใช้บริการ รพ.สต. และหันไปใช้โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) มากขึ้น ทั้งที่ 73% ของอาการเจ็บป่วยสามารถดูแลรักษาได้โดยระบบปฐมภูมิ แต่ปัจจุบันมีการเข้ารับการรักษาผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาล (ทุติยภูมิและตติยภูมิ) ถึง 53% ทำให้โรงพยาบาลรับภาระเกินกำลัง

3. ปัญหาเชิงโครงสร้างของ รพ.สต.:

  • ขาดแคลนบุคลากร: รพ.สต. โดยรวม ขาดกำลังคนถึง 50% รวมถึงบุคลากรสหวิชาชีพ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการให้บริการตามมาตรฐานและการทำงานเชิงรุก 

  • ขาดงบประมาณ: การจัดสรรงบประมาณเหมาจ่ายรายหัว (จาก CUP) มักทำให้หน่วยบริการปฐมภูมิเสียเปรียบ โดยงบที่เบิกจ่ายให้หน่วยปฐมภูมิในปี 2567 คิดเป็นเพียง 8.99% ของงบบัตรทองทั้งหมด 

  • ขาดทักษะการบริหารจัดการ: การถ่ายโอนองค์ความรู้และบุคลากรจากกระทรวงสาธารณสุขไปยัง อปท. ยังไม่ราบรื่น ทำให้เกิดปัญหาด้านการบริหารจัดการ เช่น การจัดซื้อยา การจัดบริการทันตกรรมและกายภาพบำบัดที่หายไป

 

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

1. ยกระดับคุณภาพบริการ: ยกระดับหน่วยปฐมภูมิให้เป็น หน่วยบริการหลักด่านแรก ของระบบสุขภาพ ที่สามารถตรวจคัดกรอง รักษา ดูแลส่งเสริมป้องกันได้อย่างมีคุณภาพ

2. เพิ่มกำลังคนเต็มที่: เพิ่มแพทย์ประจำ และบรรจุบุคลากรและสหวิชาชีพให้ปฏิบัติการได้ 70-100% ของกรอบอัตรากำลัง พร้อมเสริม แนวหน้าสุขภาพเฉพาะทาง อีก 100,000 ตำแหน่ง

3. เพิ่มงบพัฒนาโครงสร้างบริการ: โดยเฉพาะงาน ป้องกันโรค และการดูแลกลุ่มประชากรสำคัญ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย NCDs และผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง

4. วางระบบถ่ายโอนอย่างมีมาตรฐาน: วางระบบถ่ายโอน รพ.สต. ให้ครบ 80% ภายใน 4 ปี พร้อมกำหนดมาตรฐานบริการที่ชัดเจนและการประเมินคุณภาพรายปี

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนจะดำเนินการผ่านการปฏิรูป 3 ด้านหลัก:

1. ระบบการถ่ายโอนที่ชัดเจนและไร้รอยต่อ

  • ปรับบทบาทสาธารณสุข สู่ "พี่เลี้ยง": กำหนด KPI ร่วม ระหว่างกระทรวงมหาดไทยและสาธารณสุข โดยเน้นตัวชี้วัดที่เน้นผลลัพธ์ (หรือ Outcome Based) ที่สอดคล้องกับปัจจัยที่กำหนดสุขภาพในพื้นที่ เพื่อให้การถ่ายโอนไม่ทำให้คุณภาพการบริการลดลง และใช้คณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่เป็นกลไกกำกับติดตาม

  • ปรับกลไกการแบ่งเงินในพวงบริการ: ศึกษาการแบ่งงบประมาณในหน่วยบริการคู่สัญญาหลัก (Contracting Unit for Primary Care: CUP) ใหม่ โดยยึดตามภาระงานจริง พร้อมกำหนด สัดส่วนงบประมาณขั้นต่ำ ที่ต้องส่งตรงถึงหน่วยปฐมภูมิ และเปิดเผยสถิติการจัดสรรอย่างโปร่งใส เพื่อให้หน่วยบริการด่านหน้ามีศักยภาพเพียงพอ

    • ทั้งนี้ หน่วยบริการคู่สัญญาหลัก (CUP) มักเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่รับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจากรัฐมาบริหารจัดการ เปรียบเสมือน “คนถือกระเป๋าเงิน" ของพื้นที่ และกระจายเงินต่อให้หน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่

  • อบรมทักษะบริหารจัดการ: จัดหลักสูตรอบรมทักษะการบริหารงานสาธารณสุขให้ผู้บริหารและบุคลากรของ อปท. และ รพ.สต. เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการถ่ายโอน

2. กำลังคนเพียงพอ มีเส้นทางอาชีพก้าวหน้า

  • เพิ่มแพทย์ประจำเครือข่าย: 

    • สนับสนุนงบจ้างแพทย์ปฏิบัติงานประจำเครือข่าย ดูแลประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดเป้าหมายชั่วโมงการทำงานให้ครอบคลุมประชากร (Full-Time Equivalent: FTE) ในสัดส่วน 0.5 ต่อประชากร 10,000 คน (หรือเทียบเท่าแพทย์ปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ละ 3 วัน) 

    • ให้ รพ.สต. ขนาดใหญ่และขนาดกลางเป็นฐาน รพ.สต.ขนาดเล็กเป็นเครือข่าย

  • สร้างเส้นทางอาชีพแพทย์ท้องถิ่น: กำหนดเส้นทางความก้าวหน้าวิชาชีพของแพทย์ในสังกัดท้องถิ่น โดยให้แพทย์สามารถปฏิบัติงานในโรงพยาบาลระดับสูงได้บางช่วงเวลา เพื่อรักษาและพัฒนาทักษะวิชาชีพ

  • แก้กรอบอัตรากำลังและค่าตอบแทน: แก้กรอบอัตรากำลังของมหาดไทยเพื่อบรรจุแพทย์ในอัตราท้องถิ่นได้ พร้อมทั้งแก้ระเบียบค่าตอบแทนและระเบียบเงินบำรุง เพื่อให้บุคลากรได้รับผลตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม

  • จัดโครงการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและแพทย์เพื่อชุมชน ที่เป็นสาขายุทธศาสตร์ของระบบปฐมภูมิ

  • อุดหนุนงบประมาณอย่างน้อย 15,000  ล้านบาท/ปี เพื่อเพิ่มกำลังคนให้เต็มกรอบ

    • เพิ่มกำลังคน รพ.สต. ให้เต็ม 70-100% ของกรอบ (เฉลี่ยเพิ่ม 3-5 คน/แห่ง)

    • พัฒนา แนวหน้าสุขภาพเฉพาะทาง 100,000 คน ได้แก่ แม่และเด็ก สุขภาพจิตการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อทำงานเชิงรุกส่งเสริมป้องกันดูแลระยะยาว รวมถึง Caregiver มืออาชีพ 70,000 คน สำหรับงาน Long Term Care

3. ยกระดับคุณภาพบริการปฐมภูมิ

  • ปรับ KPI สู่ Outcome Base: ลด KPI ที่ไม่จำเป็น และเพิ่มสัดส่วน KPI รวมถึงงบประมาณจาก สปสช. ที่เป็น Outcome Base  โดยเฉพาะงานส่งเสริมป้องกันและดูแลโรคเรื้อรัง

  • ลงทุนพัฒนาโครงสร้าง: สนับสนุน งบลงทุน 20,000 ล้านบาท (1-3 ล้านบาท/รพ.สต.) เพื่อจัดหาครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐาน เช่น ทันตกรรม กายภาพบำบัด Telemedicine และ Lab ขนาดเล็ก

  • พัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพ: สนับสนุนงบลงทุนเพื่ออัพเกรดซอฟต์แวร์ระบบข้อมูลสุขภาพและบุคลากร IT ให้สามารถจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

  • จัดทำต้นแบบกระบวนงานใหม่ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นโดยเฉพาะงานเอกสาร 

  • สนับสนุนการจัดทำแอพพลิเคชันให้ประชาชนมีข้อมูลสุขภาพเพื่อวางแผนดูแลสุขภาพของตนเอง เช่น หมอพร้อม ทางรัฐ ฯลฯ