ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตการจัดการขยะมูลฝอยอย่างรุนแรง โดยมีหลุมฝังกลบไม่ได้มาตรฐานมากกว่า 2,000 แห่ง และระบบบริหารจัดการขยะที่ขาดเอกภาพมายาวนาน ซึ่งยังคงยึดแนวคิด "เก็บ–ขน–กำจัด" แบบเศรษฐกิจเส้นตรง (Linear Economy) ทำให้มลพิษตกค้างที่ปลายทาง
ปัญหาหลักเกิดจาก โครงสร้างการบริหารที่รวมศูนย์และขาดการบูรณาการในระดับจังหวัด รวมถึงการที่ อปท. ส่วนใหญ่ขาดงบประมาณและความเชี่ยวชาญ ทำให้การจัดการขยะขาดประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
1. โครงสร้างการบริหารไร้เอกภาพ: ระบบกฎหมายและแผนแม่บทเก่าติดอยู่กับแนวคิด "เก็บ–ขน–กำจัด" แบบเดิม ทำให้เกิดมลพิษตกค้างเป็นจำนวนมาก
2. ขาดความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์: การกำหนดคลัสเตอร์ตามเขตปกครองทำให้หลายพื้นที่มีปริมาณขยะไม่เพียงพอต่อการลงทุนที่คุ้มค่า
3. การจัดการขาดมาตรฐาน: การคัดแยกยังพึ่งพาความสมัครใจ ระบบรีไซเคิลพึ่งพาภาคไม่เป็นทางการ (ซาเล้ง) ส่วนปลายทางยังคงใช้การ เทกองและการเผา เป็นกลไกหลัก
4. ท้องถิ่นขาดอำนาจและทรัพยากร: อปท. ขาดงบประมาณ บุคลากร และความเชี่ยวชาญในการจัดการอย่างยั่งยืน
สถานการณ์ทั้งหมดนี้สะท้อนความต้องการในการ ปฏิรูปโครงสร้างการจัดการขยะอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
พรรคประชาชนเสนอกรอบปฏิรูปการจัดการขยะทั้งระบบ โดยเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ผ่าน 5 แนวทางหลัก
1. ปรับปรุงกฎหมายและโครงสร้างการกำกับดูแล
• จัดทำกฎหมาย: จัดทำ พ.ร.บ.บริหารจัดการของเสียและการหมุนเวียนทรัพยากร ให้ครอบคลุมทุกประเภทของขยะ
• จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะด้าน: จัดตั้งหน่วยงานเพื่อกำกับดูแลการจัดการขยะทั่วประเทศอย่างเป็นเอกภาพ
• ปรับบทบาทท้องถิ่น:
• อบจ. เป็นผู้บริหารจัดการขยะระดับจังหวัด
• อปท.ระดับล่าง มุ่งเน้นภารกิจ คัดแยกต้นทาง
• ควบรวมคลัสเตอร์: ควบรวมคลัสเตอร์ขยะให้เหลือประมาณ 90 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดปริมาณขยะที่มากพอต่อการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
• กำหนดมาตรฐาน: กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีและระบบอนุญาตสำหรับทุกกิจกรรมจัดการขยะ เพื่อลดการเทกองและบังคับให้ทุกพื้นที่ปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน
2. ยกระดับการจัดการขยะที่ต้นทาง
• มาตรฐานการคัดแยก: เปลี่ยนจากระบบสมัครใจไปสู่ระบบที่มี มาตรฐานขั้นต่ำร่วมกันทั่วประเทศ โดยกำหนดการคัดแยกขยะประเภทหลัก ได้แก่ อินทรีย์ พลาสติก แก้ว กระดาษ และขยะอันตราย
• เก็บขนครอบคลุม 100%: จัดทำฐานข้อมูลการจัดเก็บที่เป็นระบบ เพื่อกำหนดเป้าหมายการเก็บขนขยะให้ครอบคลุม 100%
• ค่าธรรมเนียมสะท้อนต้นทุน: กำหนดแนวทางคำนวณต้นทุนการเก็บขนที่สะท้อนต้นทุนจริง เพื่อให้ค่าธรรมเนียมสนับสนุนการบริหารจัดการของท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน
3. ปรับปรุงการจัดการกลางทางให้มีประสิทธิภาพ
• ระบบขนส่งรวม: ให้อบจ.ทำหน้าที่วางระบบขนส่งรวมแทนการปล่อยให้แต่ละ อปท. ดำเนินการแบบแยกส่วน
• เปลี่ยนรูปแบบรถ: เปลี่ยนรูปแบบจากการใช้รถเก็บขยะเป็น รถบรรทุกพ่วงที่ขนส่งจากสถานีขนถ่าย ในจุดต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
4. ยกระดับการจัดการปลายทางให้ได้มาตรฐาน
• แยกบทบาท: แยกบทบาทระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและผู้ดำเนินการอย่างชัดเจน
• การประเมินโครงการ: กำหนดให้ทุกโครงการต้องเสนอ การประเมินด้านเศรษฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อประกอบการอนุญาต
• เปิดพื้นที่ให้เอกชนร่วมลงทุน: เปิดพื้นที่ที่เหมาะสมให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการ เผาขยะเพื่อผลิตพลังงาน และระบบจัดการเถ้าตามข้อประเมินของแต่ละพื้นที่
5. พัฒนากลไกการกำกับดูแลและขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR)
• ควบคุมขยะพิเศษ: ขยะที่ต้องการการควบคุมเป็นพิเศษ (เช่น ขยะติดเชื้อ ขยะอุตสาหกรรม) ต้องได้รับการติดตามและควบคุมการขนส่งผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์
• ใช้กลไก EPR: ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซากรถยนต์ บรรจุภัณฑ์ และขยะจากการก่อสร้าง ต้องได้รับการจัดการผ่านกลไก ความรับผิดชอบของผู้ก่อมลพิษ (Extended Producer Responsibility: EPR) เพื่อลดภาระของท้องถิ่น
มาตรการอื่น
การใช้กองทุนสิ่งแวดล้อมในการฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อน
การจัดทำหลักสูตร “สิ่งแวดล้อมศึกษา” ในทุกระดับการศึกษา
ส่งเสริมกระบวนการรีไซเคิล และจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์รีไซเคิลให้มีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
พรรคประชาชนจะขับเคลื่อนการปฏิรูประบบจัดการขยะมูลฝอยและทรัพยากรอย่างจริงจัง ภายในกรอบเวลา 4 ปี ผ่านแผนงานต่อเนื่องที่เน้นการวางรากฐานกฎหมาย การบังคับใช้ และการสร้างแรงจูงใจทางการเงิน โดยมีเงินลงทุนรวม 180,000 ล้านบาท (CAPEX) และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน 26,300 ล้านบาท (OPEX) เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ:
ระยะที่ 1: ออกกฎหมายและเตรียมความพร้อม
ในช่วงเริ่มต้นนี้ เราจะมุ่งเน้นการสร้างกรอบกฎหมายที่จำเป็นและการเตรียมระบบท้องถิ่นให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน
1. จัดทำและผลักดันกฎหมาย: เร่งจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.การจัดการขยะและการหมุนเวียนทรัพยากร เพื่อเป็นรากฐานการบริหารจัดการขยะอย่างมีเอกภาพและครบวงจร
2. กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณ: วางเป้าหมายการเก็บขนขยะให้ ครอบคลุม 100% ทั่วประเทศ และจัดทำแนวทางปฏิบัติเฉพาะสำหรับแต่ละจังหวัดและแหล่งท่องเที่ยว
3. กำหนดกลไก EPR: กำหนด กรอบความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) สำหรับบรรจุภัณฑ์และสินค้าเฉพาะประเภท ควบคู่กับเตรียมนำระบบ AI มาใช้ในการควบคุมการขนส่ง เพื่อติดตามขยะพิเศษ
4. เริ่มต้นมาตรการรีไซเคิลและลดขยะผิดหลักวิชาการ: เริ่มมาตรการรีไซเคิลในอาคารขนาดใหญ่แบบสมัครใจ และกำหนดเป้าหมายให้การจัดการขยะที่ไม่ถูกหลักวิชาการ (เช่น การเทกอง) ลดลงเป็นศูนย์ภายใน 3 ปี พร้อมปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้อง
ระยะที่ 2: การบังคับใช้กฎหมายและการยกระดับมาตรฐาน
เมื่อกฎหมายหลักได้รับความเห็นชอบแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการบังคับใช้อย่างเข้มข้นเพื่อยกระดับมาตรฐานทั่วประเทศ
1. ออกกฎหมายลูก: ออก กฎกระทรวง เพื่อรองรับการจัดการขยะแต่ละประเภทและระบบ EPR อย่างเป็นรูปธรรม
2. ยกระดับมาตรฐานการรีไซเคิล: ยกระดับมาตรการรีไซเคิลให้เป็นข้อบังคับในอาคารขนาดใหญ่และกำหนดให้ผู้ประกอบการเสนอแนวทางจัดการขยะตามมาตรฐานเพื่อลดการจัดการที่ไม่ถูกหลักวิชาการ
3. บังคับใช้เต็มรูปแบบ: บังคับใช้ พ.ร.บ.และกฎกระทรวงเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าให้ประเทศ บรรลุอัตรารีไซเคิลไม่น้อยกว่า 35% และให้ ทุกโครงการกำจัดขยะต้องได้รับใบอนุญาตตามมาตรฐาน
4. ควบคุมมลพิษจากพื้นที่เก่า: ออกกฎกระทรวงควบคุมดินและน้ำใต้ดินปนเปื้อน
ระยะที่ 3: การสร้างความยั่งยืนและการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ในระยะสุดท้าย จะเป็นการบริหารจัดการและบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ จากการจัดการขยะ
1. การกำกับดูแลและทบทวน: ทบทวนเป้าหมายด้านรีไซเคิลและ EPR อย่างสม่ำเสมอ และเปิดเผยข้อมูลสาธารณะเกี่ยวกับการจัดการขยะเพื่อความโปร่งใส
2. การควบคุมมลพิษ: ควบคุมมลพิษจากโรงงานเผาขยะให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และเตรียมระบบจัดการขยะที่ต้องควบคุมเป็นพิเศษ รวมถึงการจัดการเถ้าจากการเผา
3. ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์: นำแนวทาง ซื้อขายคาร์บอน มาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของระบบจัดการขยะโดยรวม และสร้างแรงจูงใจให้เกิดการจัดการที่ยั่งยืน .