1. ขาดการจัดการอย่างเป็นระบบ: ปัญหา PM2.5 เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง (ทรัพยากรฯ, เกษตรฯ, คมนาคม, อุตสาหกรรม, สาธารณสุข ฯลฯ) แต่ขาดกลไกการบัญชาการที่เป็นเอกภาพ ทำให้เกิดปัญหารัฐไม่มีข้อมูลอย่างเพียงพอและไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
2. ทำงานล่าช้า: รัฐบาลมักเริ่มทำงานจริงจังเมื่อเกิดฝุ่นไปแล้ว ทำให้ขาดการเตรียมพร้อมรับมือล่วงหน้ากับภัยพิบัติที่มีวงจรเกิดซ้ำเดิมทุกปี
3. การวัดผลที่ผิดพลาด: การดำเนินงานที่ผ่านมาไม่สามารถประเมินผลและถอดบทเรียนได้อย่างถูกต้อง เนื่องจากขาดตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอต่อความรุนแรงของปัญหา
พรรคประชาชนต้องการ
รวมอำนาจและหน้าที่: เกี่ยวกับการบัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษที่มีกรมควบคุมมลพิษ เป็นหน่วยงานหลัก โดยมี กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ GISTDA เป็นหน่วยงานสนับสนุนใน “ศูนย์บัญชาการมลพิษทางอากาศ”
พัฒนาระบบฐานข้อมูล: เพื่อให้สามารถใช้ดาวเทียมของไทยและต่างประเทศ อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตามรอบวงโคจรของดาวเทียมแต่ละดวง การพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ (UAV และ Drone) ให้เหมาะสมกับแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศของแต่ละพื้นที่
การปรับตัวชี้วัด: ในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ PM2.5 ให้ชัดเจนและสามารถวัดผลความคุ้มค่าของงบประมาณที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พรรคประชาชนต้องการรวมอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับการบัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษเข้าสู่ ศูนย์บัญชาการมลพิษทางอากาศ (CACC) พร้อมกับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีและปรับปรุงตัวชี้วัดเพื่อการทำงานที่แม่นยำและวัดผลได้
1. จัดตั้งศูนย์บัญชาการมลพิษทางอากาศ (Clean Air Command Center, CACC)
• โครงสร้างการบัญชาการ: กรมควบคุมมลพิษ เป็นหน่วยงานหลัก โดยมี กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, และ GISTDA เป็นหน่วยงานสนับสนุน ศูนย์ CACC จะถูกแต่งตั้งโดยอำนาจของนายกรัฐมนตรี (ตาม ม.9 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม) และมีอำนาจในการเรียกข้อมูล ติดตาม และกำกับดูแลทุกภาคส่วน
• คลังข้อมูลและบูรณาการ: CACC ทำหน้าที่เป็น คลังข้อมูลของทุกหน่วยงานจากทุกกระทรวง รวมถึงเปิดการมีส่วนร่วมจากข้อมูลของภาคประชาชน โดยรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น แผนที่พื้นที่เผาไหม้จากดาวเทียม, แผนที่โรงงานอุตสาหกรรม, แผนที่เสี่ยงการปล่อยมลพิษทางตรงและฝุ่นทุติยภูมิ (NOx, SOx, VOCs) และแผนที่แบ่งพื้นที่ Attainment area และ Non-attainment area
• การสั่งการ 3 ส่วนหลัก: การบัญชาการโดยนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่มอบหมาย จะแบ่งการทำงานเป็น
1. ก่อนเกิดเหตุ: สั่งการเพื่อเตรียมการล่วงหน้า กำกับมาตรการบังคับ/สนับสนุน และจัดสรรงบประมาณ
2. ช่วงเผชิญเหตุ: สั่งการเพื่อบรรเทาปัญหาที่ได้เตรียมการรับมือไว้อย่างเต็มที่
3. ประเมินผล: ประเมินผลการดำเนินการและการใช้งบประมาณของทุกหน่วยงาน พร้อมเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย
• เตรียมกระจายอำนาจ: เตรียมพร้อมรับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพื่อให้สามารถตั้ง ศูนย์บัญชาการระดับท้องถิ่น (LCACC) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออากาศสะอาด
• ดาวเทียม: ใช้ประโยชน์จากดาวเทียมของไทย (THEOS-2) ประกอบกับดาวเทียมต่างประเทศ (Sentinel, Landsat, Gaofen) ให้เต็มประสิทธิภาพที่สุด พร้อมพัฒนาดาวเทียมขนาดเล็ก 3U เพื่อตรวจจับจุดความร้อนได้แบบ Real-time
• อากาศยานไร้คนขับ (UAV/Drone): ใช้ UAV เพื่อเข้าติดตามและกำกับในพื้นที่ที่ดาวเทียมมีข้อจำกัด (เช่น มีเมฆมาก) โดย:
• Thermal UAV ใช้ตรวจจับการเผาแบบรายชั่วโมงในพื้นที่ที่เกิดมลพิษจากการเผา
• Hyperspectral UAV ใช้ตรวจจับค่า NOx, SOx, HONO หรือ VOCs (สารตั้งต้นของฝุ่นทุติยภูมิ) เพื่อจัดการฝุ่นพิษที่ต้นตอ
• Thermal Drone ต้องติดตั้งในทุกทีมดับไฟของป่าอนุรักษ์และป่าสงวน
3. การปรับตัวชี้วัด (KPI) ที่วัดผลได้จริง
เพื่อให้ CACC สามารถวัดผลการดำเนินการของรัฐบาล และประเมินความคุ้มค่าของงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับปัญหามลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เปลี่ยนจาก Hotspot เป็น Burnscar: ปรับ KPI จากจุดความร้อน (Hotspot) เป็น พื้นที่เผาไหม้ (Burnscar) จากภาพถ่ายทางดาวเทียมบวกการตรวจสอบโดยพื้นที่ (Ground Check)
ใช้อัตราการระบายอากาศ: ค่า PM2.5 อย่างเดียวไม่สามารถวัดผลการดำเนินการได้ ต้องดำเนินการควบคู่กับอัตราการระบายอากาศ (Ventilation Rate) ที่คำนวณจากระดับความสูงของชั้นบรรยากาศที่มลพิษไม่สามารถเคลื่อนผ่านได้ คูณความเร็วของลม เพื่อประเมินให้เห็นได้อย่างชัดเจนโดยแสดงเป็น PM2.5:Ventilation-rate Ratio
ความชื้นในอากาศและปริมาณฝนสะสมรายวัน
จำนวนผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ
การปรับตัวชี้วัดจะทำให้เราสามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า ค่า PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เป็นเพราะการดำเนินการของรัฐบาล หรือเพราะสภาพภูมิอากาศตามธรรมชาติกันแน่