ปัญหาฝุ่นพิษข้ามแดนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน เผชิญวิกฤตคุณภาพอากาศอย่างรุนแรง เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกินขอบเขตอำนาจรัฐของประเทศใดประเทศหนึ่ง และไม่สามารถแก้ได้ด้วยมาตรการภายในประเทศเพียงลำพัง ขณะที่กลไกอาเซียนเดิมยังมีลักษณะเชิงสมัครใจ ขาดการบังคับใช้ และไม่เชื่อมโยงกับภาคการผลิตและการค้าอย่างจริงจัง
1. กลไกระหว่างประเทศยังขาดสภาพบังคับ: ความร่วมมืออาเซียนในปัจจุบันยังเน้นเชิงนโยบายทั่วไป ขาดการเชื่อมโยงข้อมูลและการบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดนที่เป็นรูปธรรม
2. ธุรกิจการเกษตรเชื่อมโยงกับการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน: สินค้าเกษตรและชีวมวลในห่วงโซ่การค้าระดับภูมิภาคในประเทศไทย มีส่วนเชื่อมโยงกับการเผาในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลับยังไม่มีมาตรการกำกับด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด
3. ขาดศูนย์กลางข้อมูล: ไทยยังไม่มีกลไกกลางที่สามารถรวบรวม วิเคราะห์ และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าข้ามพรมแดน เพื่อใช้ในการเจรจาระดับรัฐต่อรัฐและจัดสรรความช่วยเหลือได้ตรงจุด
พรรคประชาชนเสนอการยกระดับบทบาทประเทศไทยให้เป็น "ผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน" โดยเปลี่ยนจากความร่วมมือทั่วไป เป็นกลไกที่ใช้ข้อมูลและห่วงโซ่การผลิตเป็นเครื่องมือกำกับ ดังนี้
• ยกระดับศูนย์ CACC: พัฒนาจากศูนย์บัญชาการระดับชาติ (CACC) สู่ศูนย์ประสานงานข้อมูลและเตือนภัยระดับอาเซียนหรืออนุภูมิภาค
• ใช้มาตรการทางการค้า: เชื่อมโยงการจัดการฝุ่นข้ามแดนกับห่วงโซ่การผลิตและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการไม่เผา
• ยกระดับเป็นวาระสุขภาพโลก: ผลักดันปัญหาฝุ่นข้ามแดนให้เป็นประเด็นด้านสุขภาพและความมั่นคงของมนุษย์ในเวทีระดับสากล เช่น WHO
• สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน: ใช้กลไกความร่วมมือด้านการเงินและการพัฒนา สนับสนุนประเทศเพื่อนบ้านให้มีเทคโนโลยีการผลิตที่ไม่ก่อมลพิษ
พรรคประชาชนจะจัดการฝุ่นข้ามแดนเพื่อความยั่งยืนของอากาศในระดับภูมิภาค ผ่าน 4 เสาหลักสำคัญ
1. ศูนย์ข้อมูลและเตือนภัยข้ามพรมแดน
• CACC Regional Hub: ยกระดับ CACC ให้เป็นศูนย์ประสานข้อมูลด้านมลพิษทางอากาศ ระดับอาเซียนหรืออนุภูมิภาค (ไทย–เมียนมา–ลาว–กัมพูชา–เวียดนาม) ตามกลไกของข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการมลพิษทางอากาศข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution - AATHP) รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียมบนฐานข้อมูลชุดเดียวกัน เพื่อแจ้งเตือนภัยและวางแผนจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษข้ามแดนจากแต่ละประเทศสมาชิกล่วงหน้าอย่างแม่นยำ
2. กลไกห่วงโซ่อุปทานการเกษตรสีเขียว (Green Supply Chain)
• ASEAN Climate Resilience Network (CRN): ขับเคลื่อน CRN ให้เป็นกลไกหลักในการผลักดัน "เกษตรไม่เผา" และการพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตร GAP (No-Burning) ในระดับอาเซียน
• ห้ามนำเข้า-ส่งออกสินค้าที่ก่อมลพิษข้ามแดน+กำกับสินค้าเสี่ยงมลพิษ: ตรวจสอบและกำกับห่วงโซ่อุปทานของสินค้านำเข้า-ส่งออกที่มีความเสี่ยงสูง โดยเชื่อมโยงมาตรการสิ่งแวดล้อมเข้ากับนโยบายการค้า เพื่อให้บริษัทเอกชนร่วมรับผิดชอบต่อการเผาในประเทศต้นทาง พร้อมออกประกาศห้ามนำเข้า-ส่งออกสินค้าที่ก่อมลพิษข้ามแดน โดยอาศัยอำนาจการออกหลักเกณฑ์ตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานจากพ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร
3. เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้านภัยพิบัติและสุขภาพ
• AADMER Framework: ใช้กรอบความร่วมมืออาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติและการตอบสนองเหตุฉุกเฉิน (AADMER) เพื่อเข้าจัดการไฟป่าข้ามแดนและฝุ่นพิษในฐานะสาธารณภัยเร่งด่วน
• ผลักดันวาระสู่สากล: ยกระดับปัญหาฝุ่นข้ามแดนพร้อมปัญหามลพิษทางน้ำข้ามแดน เข้าสู่การพิจารณาขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อสร้างมาตรฐานสากลในการปกป้องสุขภาพประชาชนจากมลพิษข้ามแดน
4. กลไกการบังคับใช้
• ใช้งบประมาณสนับสนุนเพื่อนบ้านเป็นเครื่องมือ: ใช้กลไกความร่วมมือด้านการพัฒนา เช่น โครงการจากสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน NEDA และจากกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ (TICA) เพื่อสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้านในการลดมลพิษทางอากาศ
• ควบคุมมลพิษข้ามแดนในพื้นที่ภาคใต้จากภาคคมนาคมทางทะเล: ขยายแนวคิด PRTR ไปสู่ภาคการขนส่งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเดินเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่เข้ามาในประเทศไทย เพื่อควบคุมและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษทางทะเล