ในสังคมไทยปัจจุบัน สัตว์เลี้ยงไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ใช้งาน แต่กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว โดยในปี 2568 คาดการณ์ว่ามีสุนัขและแมวรวมกันกว่า 5 ล้านตัว ก่อให้เกิดธุรกิจมูลค่ากว่า 2.5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การเติบโตนี้มาพร้อมกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งการเพาะพันธุ์ที่ขาดการควบคุม และปัญหา "สัตว์จร" ที่ส่งผลกระทบต่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของสาธารณะ ซึ่งสาเหตุที่เกิดปัญหาคือ
1. ช่องว่างในการกำกับดูแลฟาร์ม: แม้มีประกาศมาตรฐานฟาร์ม แต่ขาดระบบรายงานผลและการติดตามตรวจสอบที่ทั่วถึง ทำให้สวัสดิภาพของแม่พันธุ์และลูกสัตว์ในหลายแห่งยังไม่ได้รับการคุ้มครองจริง
2. สัตว์ถูกทิ้งและปัญหาข้ามถิ่น: การไม่ขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยงอย่างเป็นระบบ ทำให้เมื่อสัตว์ถูกนำมาทิ้ง รัฐไม่สามารถตามหาเจ้าของเพื่อรับผิดชอบได้ ปัจจุบันสุนัขเป็นสัตว์เมืองที่ทำร้ายคนมากที่สุด โดยมีเหตุสุนัขกัดคนปีละหลายแสนครั้ง
3. ความเสี่ยงโรคระบาด: สัตว์จรที่ไม่มีผู้ดูแลกลายเป็นแหล่งแพร่กระจายของ โรคพิษสุนัขบ้า โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้แล้วถึง 7 ราย
4. ภาระของท้องถิ่น: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังขาดงบประมาณและอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจนในการจัดการสถานสงเคราะห์สัตว์และการทำหมันสัตว์จรอย่างเป็นระบบ
พรรคประชาชนเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง (ฟาร์ม) กลางทาง (เจ้าของ) และปลายทาง (สัตว์จร) ผ่าน 6 มาตรการหลัก
1. แก้ไขกฎหมายสวัสดิภาพสัตว์: ปรับปรุง พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 เพื่อกำหนดโทษทางอาญาต่อฟาร์มและเจ้าของที่ไม่ขึ้นทะเบียนสัตว์ และเพิ่มอำนาจ อปท. ในการจัดการความเดือดร้อนรำคาญจากสัตว์จร
2. ยกระดับมาตรฐานฟาร์ม: แก้ไขประกาศกระทรวงเกษตรฯ บังคับให้ฟาร์มต้อง ฝังไมโครชิพลูกสัตว์ที่รอดชีวิตเกิน 30 วัน ทุกตัวก่อนจำหน่าย
3. มาตรการภาษีเพื่อแรงจูงใจ: ตราพระราชกฤษฎีกาตามประมวลรัษฎากร เพื่อเปิดให้มีการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการเลี้ยงสัตว์และการรับเลี้ยงสัตว์จร
4. ให้เงินอุดหนุน (Matching Grant) ท้องถิ่น: สั่งการผ่านคณะกรรมการกระจายอำนาจ เพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. ในรูปแบบการร่วมจ่าย เพื่อให้ท้องถิ่นมีความพร้อมในการสร้างสถานสงเคราะห์สัตว์และระบบดูแลสุขภาพสัตว์ในชุมชน