ออกเอกสารรับรองสิทธิชุมชน แก้ปมพื้นที่ทับซ้อนรัฐ-ป่า

ออกเอกสารรับรองสิทธิชุมชน แก้ปมพื้นที่ทับซ้อนรัฐ-ป่า

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ปัจจุบันมีประชาชนอาศัยและทำกินในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิทับซ้อนกับเขตป่าหรือที่ดินของรัฐ รวมพื้นที่กว่า 20 ล้านไร่ ซึ่งถูกรัฐตีตราว่าเป็น "ผู้บุกรุก" อย่างเหมารวม ก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคงในชีวิตและข้อพิพาททางกฎหมายที่รุนแรง โดยจำแนกปัญหาออกเป็น 3 ประเภทหลัก:

1. วิกฤตที่ดินทับซ้อนเขตป่า (16.7 ล้านไร่)

เกิดจากการออกกฎหมายป่าไม้ 3 ฉบับ (พ.ศ. 2504, 2507, 2535) ที่รวมศูนย์อำนาจไว้ส่วนกลางและประกาศทับที่ดินชุมชนดั้งเดิมแม้จะมีมติ ครม. แก้ไขปัญหามานานกว่า 46 ปี (ตั้งแต่ปี 2522) แต่ความขัดแย้งยังไม่จบสิ้น นำไปสู่การขับไล่และดำเนินคดี โดยเฉพาะช่วงปี 2552–2562 มีการจับกุมถึง 60,000 ราย และฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายโลกร้อนที่ชาวบ้านไม่มีกำลังจ่าย

พื้นที่เป้าหมาย: ป่าสงวนแห่งชาติ 12.5 ล้านไร่ (19,576 หมู่บ้าน), ป่าอนุรักษ์ (อุทยานฯ/เขตรักษาพันธุ์ฯ) 4.27 ล้านไร่ (4,265 หมู่บ้าน), ป่าชายเลน ประมาณ 2.8 หมื่นไร่

2. ที่ดินทับซ้อนสาธารณประโยชน์ (8 ล้านไร่)

ส่วนใหญ่ประชาชนเข้าทำกินจนหมดสภาพการใช้ประโยชน์ร่วมกันแล้ว แต่ติดล็อกทางกฎหมายที่ต้องเพิกถอนด้วยการออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น ทำให้การเปลี่ยนสภาพที่ดินเพื่อจัดสรรให้ประชาชนทำได้ยาก

3. ที่ดินทับซ้อนที่ราชพัสดุ (1.1 ล้านไร่)

ราษฎรกว่า 83.7% ต้องการพิสูจน์สิทธิเพื่อยืนยันว่าอยู่มาก่อน แต่กระบวนการยุ่งยาก ซับซ้อน และขาดแคลนบุคลากร ทำให้ในทางปฏิบัติไม่สามารถพิสูจน์สิทธิได้จริง

ผลกระทบเชิงโครงสร้างและความเหลื่อมล้ำ

  • การตีตราและจำกัดสิทธิ: การที่รัฐมองประชาชนเป็นผู้บุกรุกแบบเหมารวม ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่มาก่อนหรือหลังการประกาศเขตป่า ทำให้ขาดสิทธิในการพัฒนาเศรษฐกิจและเข้าถึงสวัสดิการรัฐ
  • ความเสี่ยงในชีวิตประชาชน: ประชาชนเสี่ยงต่อการถูกแย่งยึดที่ดินและถูกดำเนินคดีอาญาได้ทุกเมื่อ ปัญหานี้จึงเป็นรากฐานสำคัญของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่ต้องแก้ไขด้วยการ "รับรองสิทธิชุมชน" แทนการอนุญาตแบบมีเงื่อนไขเดิมๆ

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

1. การแก้ไขปัญหาทับซ้อนกับ "เขตป่า" ด้วยรูปแบบ "แปลงรวม"

ใช้การแก้ไขปัญหาในพื้นที่ป่าไม้ (ป่าสงวน, อุทยานฯ) โดยมีให้สิทธิทำกินแต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ ซึ่งมีวิธีการต่อไปนี้

  • ใช้ประกาศ คทช.: กำหนดหลักเกณฑ์การจัดที่ดินแบบ แปลงรวม (โฉนดชุมชน หรือ เขตคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์)
  • กลไกการทำงาน:
    • หน่วยงานเจ้าของที่ดิน (เช่น กรมป่าไม้/กรมอุทยาน) ส่งมอบที่ดินให้ ท้องถิ่น (อปท.)
    • อปท. สำรวจ: ตรวจสอบแนวเขตรอบนอกและแนวเขตรายแปลง รวมถึงคุณสมบัติผู้ถือครอง (ห้ามขยายพื้นที่รุกป่าเพิ่ม)
    • การอนุญาต: ออกหนังสืออนุญาตให้ "ชุมชน" (ตามแนวเขตหมู่บ้าน) แล้วท้องถิ่นจึงออกเอกสารรับรองสิทธิ์รายแปลงให้ชาวบ้านอีกที
    • การบริหาร: ชุมชนร่วมกับท้องถิ่นดูแลพื้นที่ให้เป็นไปตามเงื่อนไขของ คทช.

2. การรวมกฎหมายบริหารจัดการที่ดินของรัฐ (ที่ราชพัสดุ และที่สาธารณประโยชน์)

ปัจจุบันที่ดินสองประเภทนี้อยู่ภายใต้กฎหมายคนละฉบับ ทำให้การบริหารจัดการ "ไม่มีเอกภาพ" ที่ดินสาธารณประโยชน์บางส่วนถูกกำกับโดยประมวลกฎหมายที่ดิน (ซึ่งเน้นที่ดินเอกชน) ทำให้หน่วยงานรัฐทำงานซ้ำซ้อนหรืออำนาจไม่ชัดเจน

  • แก้ไข พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 ให้ครอบคลุมทั้งสองประเภท:
  • กรมธนารักษ์: ดูแลที่ดินที่รัฐใช้ประโยชน์ หรือที่ดินที่เอกชนเช่าระยะยาว
  • องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.): ดูแลที่ดินที่เป็นที่สาธารณะจริงๆ (เช่น สุสาน, หนองน้ำ, ตลาด)

3. การจัดการพื้นที่ทับซ้อนและที่ดินที่ไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.)

สำหรับที่ดินที่ยังมีความคลุมเครือเรื่องแนวเขต:

  • กรณีชาวบ้านอยู่มานานและรัฐไม่ใช้ประโยชน์แล้ว: ให้กันออกและดำเนินการจัดที่ดินตามแนวทางของ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เพื่อให้สิทธิการอยู่อาศัย/ทำกินอย่างถูกต้อง
  • กรณีรัฐยังต้องใช้ประโยชน์: ให้เร่งรัดรังวัดและออก นสล. เพื่อแสดงแนวเขตที่ชัดเจน ป้องกันการบุกรุกเพิ่ม

ทำอย่างไรให้สำเร็จ? (HOW)

เพื่อให้การรับรองสิทธิที่ดินชุมชนเกิดขึ้นได้จริง พรรคประชาชนจะดำเนินการตามขั้นตอนเชิงรุก ดังนี้

1. มาตรการเร่งด่วนเพื่อลดความขัดแย้ง

  • หยุดวงจรคดีความ: ยุติการจับกุมและดำเนินคดีเกี่ยวกับป่าไม้กับประชาชนที่อยู่เดิม เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศจากความขัดแย้งเป็นการร่วมมือ (ยกเว้นกรณีบุกรุกใหม่)
  • คัดกรองทุนข้ามชาติ: ตรวจสอบการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติหรือนอมินีอย่างเข้มงวด เพื่อให้ทรัพยากรที่ดินตกถึงมือประชาชนไทยอย่างแท้จริง

2. กระบวนการสำรวจและรับรองสิทธิอย่างมีส่วนร่วม

  • X-Ray พื้นที่ทับซ้อน: เร่งรัดสำรวจรายชื่อสมาชิกชุมชน แผนที่แนวเขตรายแปลง และลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าและที่ดินรัฐทั่วประเทศ
  • ออกเอกสารรับรองสิทธิชุมชน: ออกหนังสือรับรองสิทธิแบบกลุ่มหรือชุมชน โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่าง ชุมชน, อปท., เจ้าหน้าที่ป่าไม้ และภาคประชาสังคม
  • ให้อำนาจท้องถิ่น: สนับสนุนให้ อปท. ออกข้อบัญญัติรองรับการบริหารจัดการที่ดินและแผนพัฒนาการใช้ที่ดิน เพื่อให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน

3. ปรับสถานะทางกฎหมายเพื่อคืนสิทธิโฉนด

  • เพิกถอนที่ดินรัฐที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์: ออก พ.ร.บ. เพิกถอนสภาพที่ราชพัสดุหรือที่สาธารณประโยชน์ ในพื้นที่ที่ประชาชนครอบครองมานาน (ก่อน พ.ศ. 2530) เพื่อส่งมอบให้กรมที่ดินออกโฉนด โดยให้สิทธิเช่าซื้อในราคาที่เป็นธรรม
  • ล้างแนวเขตป่าทับซ้อน: ออกกฎกระทรวงหรือพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนแนวเขตป่าที่ประกาศทับพื้นที่กรรมสิทธิ์เดิม หรือที่ดินที่มีสิทธิออกโฉนดตามกฎหมาย (เช่น พื้นที่นิคมสร้างตนเอง/สหกรณ์) เพื่อคืนความเป็นธรรมให้เจ้าของที่ดินดั้งเดิม