เมื่อรัฐบาลมีนโยบายปิดป่าเมื่อปี พ.ศ. 2532 ก็หันมาสู่การดำเนินนโยบายอนุรักษ์ป่าอย่างเข้มข้น โดยการเปลี่ยนนโยบายป่าไม้แห่งชาติโดยกำหนดให้มีป่าเศรษฐกิจ 15% ของพื้นที่ประเทศ และเป็นป่าอนุรักษ์ 25% ของพื้นประเทศ อันนำมาสู่การเร่งประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ อันนำมาสู่ปัญหาความขัดแย้งรหว่างรัฐกับประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้คือ กฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ได้รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง และมีแนวคิดอนุรักษ์แบบปลอดคน จึงตัดสิทธิชุมชนท้องถิ่นออกทั้งหมด ทำให้การใช้พื้นที่หรือทรัพยากรของคนในท้องถิ่นต้องขออนุญาตทั้งหมด ทำให้พื้นที่ที่มีป่าและทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ไม่สามารถใช้ป่าและทรัพยากรเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของคนในท้องถิ่นได้
อย่างไรก็ตามพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยลดลงตามลำดับพร้อมๆ โดยปัจจุบันเหลือ 31% ของพื้นที่ประเทศ ปัจจุบันสถิติพื้นที่มี่สภาพป่าของประเทศไทยแต่ละประเภทมีดังนี้คือ
1. ป่าสงวนแห่งชาติ 31.4 ล้านไร่ หรือเท่ากับ 9.8% ของพื้นที่ประเทศ
2. ป่าอนุรักษ์ 64 ล้านไร่ หรือเท่ากับ 20.1% ของพื้นที่ประเทศ
3. ป่าชุมชน 6.2 ล้านไร่ หรือเท่ากับ 1.9% ของพื้นที่ประเทศ
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีกฎหมายหลายรูปแบบทั้ง อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า วนอุทยานแห่งชาติ สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ นอกจากนั้นยังมีประกาศเรื่อง ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าไม้ถาวร ซึ่งมีกฎหมายคนละฉบับ มีมาตรการในการกำกับดูแลที่แตกต่างกัน และอยู่ภายใต้หลายหน่วยงาน
ขณะเดียวกัน แนวคิดของหน่วยงานรัฐในการบริหารจัดการป่าจากอำนาจนิยมแบบดั้งเดิม (Conventional) ที่ถือว่าป่าและทรัพยากรเป็นของรัฐเท่านั้น โดยไม่เปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการและใช้ประโยชน์จากป่าและทรัพยากรอย่างเพียงพอ ทั้งๆ ที่ทรัพยากรป่าไม้ สามารถใช้เพื่อการสร้างงาน สร้างอาชีพได้ ป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติให้กับชุมชน และสามารถให้ชุมชนร่วมกันวางแผนเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนได้
พรรคประชาชนจะเพิ่มพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยกำหนดให้พื้นที่ที่มีสภาพป่าจริง ทั้งป่าสงวนแห่งชาติ ป่าไม้ถาวร อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า วนอุทยานแห่งชาติ สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ ให้เป็นป่าอนุรักษ์ทั้งหมด และกำหนดให้อยู่ภายใต้โครงสร้างกฎหมายฉบับเดียวกันและมีหน่วยงานระดับกรมเพียงกรมเดียวมีอำนาจบริหารจัดการเพื่อให้มีเอกภาพและประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่มขึ้นจาก 64.4 ล้านไร่ หรือเท่ากับ 20.1% ของพื้นที่ประเทศ เป็น 95.8 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 30% ของพื้นที่ประเทศ โดยเป็นพื้นที่ที่ไม่ซ้อนทับหรือมีข้อพิพาทกับประชาชนอยู่
ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนจะส่งเสริมสิทธิชุมชนจัดการป่า โดยประกาศรับรองพื้นที่ที่ชุมชนได้ยื่นขอจัดตั้งป่าชุมชนไว้ทั้งหมด 760,000 ไร่ รวมกับพื้นที่ที่ได้รับการจัดตั้งตามกฎหมายแล้ว 6.2 ล้านไร่ ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่ป่าชุมชนรวมกันทั้งหมด 6.96 ล้านไร่ หรือเท่ากับ 2.1% ของพื้นที่ประเทศ และแก้ไขโครงสร้างอำนาจ โดยกำหนดให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่กำกับ และสนับสนุนส่งเสริมให้ชุมชนบริหารจัดการและจัดหาประโยชน์จากพื้นที่ป่าชุมชนอย่างยั่งยืน
และพรรคประชาชนจะปรับเปลี่ยนแนวคิดของหน่วยงานรัฐในการบริหารจัดการป่าจากอำนาจนิยมแบบดั้งเดิม (Conventional) ที่ถือว่าป่าและทรัพยากรเป็นของรัฐเท่านั้น ไปสู่แนวคิดการพัฒนาตามยุคสมัย (Development) ที่มุ่งบริหารจัดการป่าเพื่ออนุรักษ์รักษาทรัพยากร ป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้คนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการและใช้ประโยชน์จากป่าและทรัพยากรเพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพได้
การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 หรือ One Map
จำแนกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ยังคงสภาพป่า และไม่ใช้พื้นที่ที่ทับซ้อนหรือมีข้อพิพาทกับประชาชน ให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์
นำเทคโนโลยี AI และ Deep Learning มาพัฒนาประสิทธิภาพการพิสูจน์สิทธิในเขตที่ดินของรัฐ รวมทั้งใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการพื้นที่ป่า เช่น การตรวจสอบการบุกรุกพื้นที่ป่าแบบ Real time, ติดตามตรวจสอบการใช้ที่ดินในเขตป่า เป็นต้น
ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการพื้นที่ป่าและทรัพยากรจากป่า เช่น การใช้แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศและโดรนถ่ายภาพ เพื่อสำรวจและจัดทำแนวเขตป่าและเปิดเผยผ่านระบบออนไลน์ให้ประชาชนรู้, การใช้ดาวเทียมและเทคโนโลยี AI ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงสภาพป่าหรือการตัดไม้ทำลายป่า, การใช้ระบบ E-Ticket เป็นต้น
ส่งเสริมการใช้พื้นที่ป่าเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและสุขภาพ เช่น การเดินป่า, กีฬาวิ่งเทรล, ธรรมชาติบำบัด, บริหารจัดการให้ชุมชนเก็บหาของป่าอย่างยั่งยืน
สนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการบริหารจัดการป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนสร้างพื้นที่ป่า-พื้นที่สีเขียว ในที่ดินของตนเอง รวมถึงการเก็บหาของป่าอย่างยั่งยืน