ปัญหาพัฒนาการของเด็กปฐมวัยหรือเด็กเล็กมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ:
ความยากจนและความเปราะบางของครัวเรือน: เด็ก 0-6 ขวบในประเทศไทย จำนวน 2 ใน 3 อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีระดับรายได้น้อยที่สุด ส่งผลให้ศักยภาพในการเลี้ยงดูและการลงทุนในเด็กต่ำอย่างมาก เด็กมีโอกาสที่จะมีภาวะโภชนาการต่ำ (เช่น เตี้ย น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์) มากกว่าเด็กในครัวเรือนที่มีรายได้สูง
สวัสดิการเด็กเล็กที่ไม่เพียงพอและตกหล่น: งบสวัสดิการทั้งหมดของประเทศ มีสัดส่วนสำหรับเด็กเล็กเพียง 2.9% เท่านั้น แม้จะมีโครงการเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด (600 บาท/เดือน) แต่ยังต้องพิสูจน์ความจน และพบว่าในกลุ่มรายได้ต่ำ 40% แรก ยังมีเด็กถึง 34% ที่ยังตกหล่น ไม่ได้รับเงินอุดหนุน
เราเสนอการปฏิรูประบบเงินอุดหนุนเด็กปฐมวัยให้เป็น แบบถ้วนหน้า (Universal) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ในช่วงแรกของชีวิตซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญอย่างยิ่ง
เพิ่มเงินอุดหนุนเด็ก 0-6 ขวบ เป็นแบบถ้วนหน้า 600 บาท/เดือน ให้ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ (5 เดือนในช่วงตั้งครรภ์) ในปีงบประมาณ 2570 โดยมีเงื่อนไขให้มาฝากครรภ์ตามกำหนด
เพิ่มการอุดหนุนขึ้นในปีต่อๆ ไป จนเป็น 1,200 บาท/เดือน ในปี 2573 โดยมีเงื่อนไขจ่ายเงินอุดหนุนต่อเนื่องเมื่อนำเด็กเข้าสู่ระบบของรัฐในการคัดกรองและติดตามพัฒนาการ เพื่อให้รัฐมีข้อมูลสุขภาพของเด็ก เช่น นำเด็กมาตรวจคัดกรองพัฒนาการหรือฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของสาธารณสุข
โดยเมื่อมีการนำมาตรการนี้มาใช้แล้ว จะช่วยให้เด็กเล็กหลุดพ้นจากความยากจน จำนวน 256,734 คน หรือคิดเป็น 63% ของจำนวนเด็กเล็กที่ยากจนทั้งหมดในปัจจุบัน
ต้องใช้ มติคณะรัฐมนตรี ผ่านกระบวนการงบประมาณในปี 2570 คาดว่าจะใช้งบประมาณเริ่มต้น 23,000 ล้านบาท
ปรับระเบียบการจ่ายเงิน: ปรับระเบียบกรมกิจการเด็กและเยาวชนว่าด้วยการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ในประเด็นบทนิยามครัวเรือนรายได้น้อยและข้อกำหนดการจ่ายเงิน
รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูล: สร้างระบบรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลพัฒนาการเด็กรายคนตั้งแต่ฝากครรภ์ กับหน่วยบริการต่าง ๆ เช่น การฝากครรภ์คุณภาพ การอบรมโรงเรียนพ่อแม่ การฉีดวัคซีนที่จำเป็น 11 ชนิด และตรวจร่างกายตามกำหนดเวลา การคัดกรองประเมินพัฒนาการเด็กครั้งสำคัญ 5 ช่วงวัย (9, 18, 30, 42, 60 เดือน)