ช่องว่างของระบบดูแลเด็ก: แม้ไทยจะมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนับหมื่นแห่ง แต่ส่วนใหญ่รับเด็กอายุ 2 ขวบขึ้นไปและเปิด-ปิดตามเวลาราชการ ทำให้เด็กเล็กเพียง 3-12% เท่านั้นที่เข้าถึงระบบดูแลที่เป็นทางการ ขัดกับความต้องการจริงที่ครัวเรือนกว่า 40% ระบุต้องการใช้บริการดูแลเด็กจากภายนอก
กำแพงค่าใช้จ่าย: ค่าบริการดูแลเด็กทั่วไปอยู่ที่ 3,500-5,000 บาท/เดือน ขณะที่กว่า 70% ของครัวเรือนไทยมีกำลังจ่ายไม่เกิน 2,500 บาท ความไม่สมดุลนี้บีบให้ครอบครัวรายได้น้อยเข้าไม่ถึงบริการที่มีคุณภาพ
ผลกระทบต่อเด็กและโอกาสของผู้ปกครอง: ข้อมูลปี 2566 เด็กกว่า 42% ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ (มักฝากปู่ย่าตายายเลี้ยง) ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลให้พัฒนาการของเด็กล่าช้า โดยเฉพาะในครัวเรือนยากจน นอกจากนี้ แม่เลี้ยงเดี่ยวยังต้องเสียโอกาสในการทำงานเพราะออกมาเลี้ยงลูกเอง ทำให้เสียโอกาสในการหารายได้
ตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กวัยอ่อน (4 เดือน - 2 ขวบ) โดยรับอุดหนุนงบลงทุนให้ท้องถิ่นดำเนินการ ดูแลเด็กศูนย์ละประมาณ 20-30 คน เป้าหมายเริ่มต้นที่ 1,000 ศูนย์ ในเขตเมืองหรืออุตสาหกรรม ดูแลเด็กได้ 20,000-30,000 คน ภายใน 4 ปีแรก
อุดหนุนค่าดำเนินการ สำหรับสถานเลี้ยงเด็กวัยอ่อน (4 เดือน - 2 ขวบ) ที่ได้มาตรฐาน ทั้งของรัฐและของเอกชน จำนวน 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน
ขยายเวลารับเลี้ยงเด็ก ทั้งศูนย์เลี้ยงเด็กและศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้ครอบคลุมเวลาทำงานจริงมากขึ้น (ตั้งแต่ 7.00 - 18.00 น.) โดยเฉพาะในเขตเมืองหรืออุตสาหกรรม
สนับสนุนสถานประกอบการ ให้สิทธิลดหย่อนภาษี ไม่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับสถานประกอบการที่จัดตั้งสถานเลี้ยงเด็กหรือห้องปั๊มนมในที่ทำงาน
1. แก้ไขระเบียบและจัดสรรงบประมาณ:
2. ขยายผลโครงการนำร่อง: ภายใน 1 ปีแรก สำรวจ ศพด. ที่มีศักยภาพและความต้องการ คัดเลือกพื้นที่นำร่องดำเนินการ 100 แห่ง และขยายเป็น 1,000 แห่งภายใน 4 ปี
3. กำหนดมาตรฐานและขึ้นทะเบียนเอกชน:
4. ใช้กลไกภาษีสนับสนุน: ประกาศกรมสรรพากรเพื่อให้สถานประกอบการที่จัดตั้งสถานเลี้ยงเด็กหรือห้องปั๊มนมในที่ทำงาน สามารถลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า