ควบคุมตรวจสอบการนำเข้าสินค้าเกษตร

ควบคุมตรวจสอบการนำเข้าสินค้าเกษตร

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ในเวทีการค้าเสรี สินค้าเกษตรนำเข้าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปากท้องของเกษตรกรไทย หากไร้ซึ่งการควบคุมที่รัดกุม สินค้าที่ด้อยคุณภาพหรือสินค้าที่ทะลักเข้ามาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจทำลายกลไกราคาภายในประเทศและสุขภาพของผู้บริโภคได้ พรรคประชาชนจึงได้วางแนวทางในมาตรการควบคุมและตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้าเพื่อยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบให้เข้มข้น โปร่งใส และเป็นธรรม โดยไม่ขัดต่อกติกาการค้าระหว่างประเทศ

วัตถุประสงค์หลักของนโยบายนี้เกิดขึ้นจากความจำเป็นในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชนใน 3 มิติหลัก ได้แก่

  1. การคุ้มครองผู้บริโภค: เพื่อป้องกันสินค้าเกษตรนำเข้าที่ไม่มีคุณภาพ หรือมีการปนเปื้อน ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนไทย

  2. การรักษาเสถียรภาพราคา: สินค้าเกษตรนำเข้าที่เข้ามาโดยไร้การกำกับดูแล มักส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศ ทำให้ราคาตกต่ำและกระทบต่อการดำรงชีพของเกษตรกรไทย

  3. การจัดระเบียบการนำเข้า: เพื่อกำหนดช่วงเวลานำเข้าที่เหมาะสม ไม่ให้ทับซ้อนกับช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตภายในประเทศ (Harvest Season) โดยอาศัยเกณฑ์ด้านความปลอดภัยทางอาหารและสุขอนามัยพืช/สัตว์ เป็นเครื่องมือในการกำกับดูแล ภายใต้เงื่อนไขสำคัญคือต้อง "ไม่เป็นการกีดกันทางการค้า" กับประเทศคู่ค้า

เราจะทำอะไร (WHAT)

มุ่งเน้นการเสริมศักยภาพให้ระบบการตรวจสอบหน้าด่านให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีสาระสำคัญคือ

  • เสริมความเข้มแข็งระบบควบคุมตรวจสอบ: เสริมความเข้มแข็งให้กับระบบควบคุมและตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้า ทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล อุปกรณ์ และงบประมาณ ให้เพียงพอต่อการปฏิบัติงานจริง

  • บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด: ดำเนินการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดตามกฎระเบียบที่วางไว้

  • สร้างความโปร่งใสต่อสาธารณะ: มีการรายงานผลการดำเนินการตรวจสอบอย่างเปิดเผยและโปร่งใส ต่อสาธารณะและนานาประเทศ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการบังคับใช้มาตรฐาน

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

การขับเคลื่อนนโยบายนี้สู่การปฏิบัติ อาศัย 3 แนวทางหลัก ต่อไปนี้

  1. เติมทรัพยากร (Capacity Building): สนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดหาทรัพยากรบุคคลและอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้เพียงพอสำหรับการตรวจสอบสินค้านำเข้าทุกล็อตอย่างละเอียดและเคร่งครัด

  2. ยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบ (Standardization): ทบทวนและกำชับการใช้กฎระเบียบในการควบคุมและตรวจสอบสินค้านำเข้าให้สอดคล้องกับ "มาตรฐานนานาชาติ" โดยเฉพาะการอ้างอิงมาตรฐานของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น "จีน" เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นที่ยอมรับ

  3. สื่อสารแนวปฏิบัติล่วงหน้า: เผยแพร่แนวทางปฏิบัติและผลการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งต้องแจ้งให้ประเทศคู่ค้าทราบล่วงหน้าในกรอบเวลาที่เหมาะสมก่อนเริ่มมาตรการ เพื่อลดข้อขัดแย้งทางการค้า

 

ขั้นตอนการดำเนินงาน 5 ข้อดังนี้ 

  1. ประเมินช่องว่าง (Gap Analysis): สำรวจความพร้อมของด่านกักกันพืชและสัตว์ทั่วประเทศ เพื่อระบุความขาดแคลนด้านบุคลากรและเครื่องมือ

  2. ปรับปรุงกฎระเบียบ: คณะทำงานด้านมาตรฐานสินค้าเกษตรทำการเปรียบเทียบมาตรฐานของไทยกับสากลและคู่ค้าสำคัญ (เช่น จีน) เพื่อปรับปรุงเกณฑ์การตรวจสอบให้ทัดเทียมกัน

  3. แจ้งเตือนคู่ค้า: ส่งหนังสือแจ้งเตือนระเบียบปฏิบัติใหม่ไปยังสถานทูตและหอการค้าของประเทศคู่ค้า ตามกรอบเวลาสากล

  4. ปฏิบัติการอย่างเข้มข้น: เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% หรือสุ่มตรวจในอัตราที่สูงขึ้น โดยใช้อุปกรณ์ใหม่ที่ได้รับการสนับสนุน

  5. รายงานผล: เปิดเผยข้อมูลปริมาณสินค้าที่ผ่านและไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานผ่านช่องทางสาธารณะ (อาจเชื่อมโยงกับ Public Dashboard 

การมีระบบตรวจรับรองสินค้านำเข้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถสกัดกั้นสินค้าด้อยคุณภาพได้จริง และช่วยพยุงราคาสินค้าเกษตรไทยในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวไม่ให้ถูกถล่มจากสินค้านอก

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญที่นโยบายนี้ตระหนักถึงคือ "ข้อพิพาททางการค้า" หากการตรวจสอบมีความเข้มงวดจนเกินขอบเขต หรือขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ อาจถูกประเทศคู่ค้าฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) หรือใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า (Retaliation) กลับมายังสินค้าส่งออกของไทยได้ ดังนั้น ความแม่นยำและการอ้างอิงมาตรฐานสากลจึงเป็นหัวใจสำคัญในการลดความเสี่ยงนี้

งบประมาณสำหรับการปรับปรุงและเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพสินค้าหน้าด่านจำนวน 2,000 ล้านบาท ใน 4 ปี โดยงบประมาณส่วนนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบเช่น กรมศุลกากร (เครื่องเอกซเรย์) กรมวิชาการเกษตร กรมประมง (ห้องปฏิบัติการ) เป็นต้น