สินค้าเกษตรราคาเป็นธรรม: ปฏิรูปโครงสร้างราคาเพื่อเกษตรกรไทย

สินค้าเกษตรราคาเป็นธรรม: ปฏิรูปโครงสร้างราคาเพื่อเกษตรกรไทย

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร เป็นปัญหาที่เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญ โดยเฉพาะการถูกกดราคาโดยไม่มีเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการหักค่าความชื้น หรือการประเมินคุณภาพที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้รับซื้อเพียงฝ่ายเดียว ทำให้เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพผลผลิต พรรคประชาชนจึงได้นำเสนอนโยบาย "การใช้โครงสร้างราคาที่เป็นธรรมในการกำหนดราคารับซื้อจากเกษตรกร" เพื่อปฏิรูปกติกาการซื้อขายให้โปร่งใส ยุติธรรม และสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องเกษตรกร

ปัญหาหลักที่นโยบายนี้ต้องการแก้ไขคือ "ความไม่เป็นธรรม" ในระบบการซื้อขายสินค้าเกษตร โดยมีสาเหตุหลัก 3 ประการ คือ

  1. การไม่ซื้อตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพ: ปัจจุบันการรับซื้อสินค้าเกษตรหลายชนิดไม่ได้อ้างอิงคุณภาพที่แท้จริง เช่น เปอร์เซ็นต์น้ำมันในปาล์ม หรือเปอร์เซ็นต์แป้งในมันสำปะหลัง ทำให้เกษตรกรที่ผลิตของดีขายได้ในราคาเดียวกับของเกรดต่ำ

  2. การขาดแรงจูงใจ: เมื่อทำของดีแล้วขายได้ราคาเดิม เกษตรกรจึงไม่มีแรงจูงใจที่จะลงทุนปรับปรุงคุณภาพผลผลิตของตนเอง

  3. ความไม่โปร่งใส: การกำหนดราคารับซื้อในปัจจุบันมักไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา ทำให้เกษตรกรเสียเปรียบในอำนาจต่อรอง

เราจะทำอะไร (WHAT)

มุ่งเน้นการรื้อระบบการคิดราคาใหม่ โดยการ "กำหนดโครงสร้างราคาที่เป็นธรรม" สำหรับสินค้าเกษตรเศรษฐกิจหลัก 4 ชนิด ได้แก่

  1. ปาล์มน้ำมัน

  2. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

  3. มันสำปะหลัง

  4. ข้าว (ในพันธุ์ที่รัฐบาลส่งเสริมและรับรอง)

โดยสาระสำคัญคือ การกำหนด "เกณฑ์ราคาตามคุณภาพที่ชัดเจน" (เช่น ยิ่งแป้งเยอะ ยิ่งได้ราคาดี) และการกำหนด "ช่วงราคาเป้าหมายที่แน่นอน" ในแต่ละรอบการผลิต เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการวางแผนการเพาะปลูกและการลงทุนได้ล่วงหน้า

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

  1. การคำนวณห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain Analysis): ภาครัฐจะกำหนดโครงสร้างราคาโดยการคำนวณต้นทุนและกำไรของทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อหา "อัตราที่เป็นธรรม" ที่เกษตรกรควรได้รับ ไม่ใช่ให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับพ่อค้าคนกลางหรือโรงงานแปรรูปเพียงฝ่ายเดียว

  2. การกำหนดสูตรคำนวณ (Pricing Formula): สร้างสูตรการคำนวณราคารับซื้อที่อ้างอิงวิทยาศาสตร์และคุณภาพ เช่น เปอร์เซ็นต์แป้ง เปอร์เซ็นต์น้ำมัน ค่าความชื้น และปัจจัยอื่นๆ เพื่อให้ราคาสะท้อนคุณภาพที่แท้จริง

  3. การบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement): ใช้เครื่องมือทางกฎหมายในการกำกับดูแลให้ผู้รับซื้อปฏิบัติตามโครงสร้างราคาที่กำหนด ผ่าน พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และจะมีการยกร่างกฎหมายเฉพาะเพิ่มเติม เช่น พ.ร.บ. ปาล์มน้ำมัน เพื่อดูแลสินค้าเฉพาะอย่างเข้มข้น

ขั้นตอนการดำเนินงานมีดังนี้ 

  1. ศึกษาและวิเคราะห์: คณะทำงานผู้เชี่ยวชาญทำการศึกษาโครงสร้างต้นทุนและกำไรของสินค้าทั้ง 4 ชนิด (ปาล์ม, ข้าวโพด, มัน, ข้าว) ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

  2. กำหนดเกณฑ์และสูตร: จัดทำเกณฑ์มาตรฐานและสูตรการรับซื้อที่ชัดเจน เช่น ปาล์มน้ำมัน 18% ต้องราคาเท่าไหร่เทียบกับราคาน้ำมันดิบตลาดโลก และ/หรือ ตลาดปลายทาง (รวมผลิตภัณฑ์แปรรูปหลัก)

  3. ยกร่างกฎหมาย: ดำเนินการยกร่างกฎหมายลูก หรือ พ.ร.บ. เฉพาะ (เช่น พ.ร.บ. ปาล์ม) เพื่อรองรับการบังคับใช้สูตรราคา กำหนดแบบมาตรฐานเอกสารการรับซื้อสินค้าเกษตรของผู้รับซื้อ (หรือใบเสร็จการรับซื้อ) เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล

  4. ประชาสัมพันธ์: สื่อสารทำความเข้าใจกับเกษตรกร ลานรับซื้อ และโรงงานแปรรูป ถึงกติกาใหม่

  5. บังคับใช้และตรวจสอบ: ประกาศใช้โครงสร้างราคา และส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการรับซื้อหน้าลาน เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปฏิบัติตามเกณฑ์

  6. ติดตามและประมวลผล: กำหนดให้ผู้รับซื้อสินค้าเกษตรทุกรายต้องรายงานเอกสารการรับซื้อสินค้าเกษตรแบบเรียลไทม์ และ/หรือ เกษตรกรสามารถแจ้งราคารับซื้อได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชันที่นิยมใช้ (เช่น ไลน์) และจะทำการประมวลผลโดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อวิเคราะห์จุดรับซื้อที่มีความผิดปกติ หรือแนวโน้มการรับซื้อที่ผิดปกติ เพื่อไปแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

ตั้งเป้าหมายภายในปีที่ 2 ของการดำเนินการ: จะต้องดำเนินการกำหนดโครงสร้างราคารับซื้อที่เป็นธรรมให้ครบทั้ง 4 ชนิดสินค้า (ปาล์มน้ำมัน, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์, มันสำปะหลัง, และข้าว)

นโยบายนี้เน้นการ "จัดระเบียบ" (Regulation) และการ "ออกกฎหมาย" (Legislation) ใช้งบประมาณในระบบงบประมาณปกติ