ความผันผวนของราคาสินค้าเกษตรเป็นปัญหาเรื้อรังที่บั่นทอนความมั่นคงในอาชีพของเกษตรกรไทยมาอย่างยาวนาน การขาดข้อมูลที่รอบด้านและทันต่อเหตุการณ์ทำให้เกษตรกรตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในกลไกตลาด พรรคประชาชนจึงได้นำเสนอนโยบายเกษตรที่มุ่งเน้นการสร้าง "ระบบรายงานและเฝ้าระวังราคาสินค้า" หรือ Public Dashboard เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการคืนอำนาจข้อมูลข่าวสารสู่มือประชาชน และสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพ
ราคาสินค้าเกษตรมีการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนหลายรูปแบบ ทั้งแนวโน้มระยะยาว วัฏจักรราคา ความผันผวนตามฤดูกาล และภาวะผิดปกติอื่นๆ ซึ่งหากมีระบบข้อมูลที่ดีพอ จะสามารถคาดการณ์สัญญาณราคาสินค้าตกต่ำได้ล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน หรือสามารถตรวจพบจุดผิดปกติได้ทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญในปัจจุบันคือ การจัดเก็บข้อมูลราคาสินค้าเกษตรของไทยยัง "กระจัดกระจาย" ไม่ถูกรวบรวมไว้ที่จุดเดียว โดยข้อมูลแยกกันอยู่ระหว่างกรมการค้าภายในและสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ทำให้ขาดเอกภาพและไม่มีระบบการคาดการณ์หรือเตือนภัยล่วงหน้าอย่างจริงจัง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาราคาสินค้าตกต่ำอย่างหนักในปี 2568 ดังนั้น นโยบายนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่ออุดช่องโหว่ด้านข้อมูลดังกล่าว และป้องกันวิกฤตราคาผลผลิตในอนาคต
จัดทำ "ระบบรายงานและเฝ้าระวังราคาสินค้า (Public Dashboard)" ที่เปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ โดยมีคุณสมบัติสำคัญดังนี้
ข้อมูลใกล้เคียงเวลาจริง (Near Real-time): รายงานสถานการณ์ราคาและข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ทันต่อเหตุการณ์ เช่น ปริมาณและระยะเวลาในการเก็บเกี่ยวผลผลิต
สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์อนาคต: ไม่ใช่แค่การรายงานราคาปัจจุบัน แต่มีการประมวลผลเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต ในรูปแบบของ Farm Price Nowcasting Model โดยใช้ข้อมูลใกล้เคียงเวลาจริงมาวิเคราะห์
มีระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า: มีฟังก์ชันการเตือนภัยเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวรับมือและปรับเปลี่ยนแผนการผลิตหรือการตลาด
การขับเคลื่อนนโยบายนี้อาศัยการทำงานเชิงรุกใน 4 ด้านหลัก ได้แก่
การบูรณาการฐานข้อมูล (Data Integration): ดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน ทั้งราคาขายส่ง ราคาขายปลีก ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก และพื้นที่เพาะปลูก พร้อมออกแบบระบบการนำเสนอข้อมูล (Dashboard) ที่ใช้งานง่ายสำหรับประชาชน
ใช้การวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยี (Analytics & AI): จัดระบบการวิเคราะห์ราคาสินค้าอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้ทั้งทีมงานผู้เชี่ยวชาญและระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะพัฒนาขึ้นมาช่วยประมวลผล
เจาะลึกข้อมูลพื้นที่ (Deep Dive): ลงพื้นที่สืบค้นข้อมูลเชิงลึกและตรวจสอบแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลในระบบ
การเตือนภัย (Dissemination): ทำการเผยแพร่ข้อมูลและส่งสัญญาณเตือนภัยให้เกษตรกรทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 3 เดือน
จากการวิเคราะห์กระบวนการทำงาน สามารถสรุปขั้นตอนการดำเนินงานได้ดังนี้
รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูล: เชื่อมต่อ API และฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมการค้าภายใน, สศก., กรมศุลกากร ฯลฯ) เข้าสู่ถังข้อมูลกลาง
พัฒนาแพลตฟอร์ม AI: สร้างโมเดลปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์แพทเทิร์นของราคาและปัจจัยเสี่ยง เพื่อทำนายแนวโน้มราคาในอนาคต รวมถึงข้อมูลทางการตลาดในประเทศผู้นำเข้าเป้าหมาย
จัดทำ Dashboard: พัฒนาหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่แสดงผลข้อมูลเข้าใจง่าย (Data Visualization) สำหรับเกษตรกรและประชาชน
ติดตาม และประมวลผล กำหนดให้ผู้รับซื้อสินค้าเกษตรทุกรายต้องรายงานเอกสารการรับซื้อสินค้าเกษตรแบบเรียลไทม์ และ/หรือ เกษตรกรสามารถแจ้งราคารับซื้อได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชันที่นิยมใช้ (เช่น ไลน์) และจะทำการประมวลผลโดยเครื่องมือวิทยาศาสตร์ข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อวิเคราะห์จุดรับซื้อที่มีความผิดปกติ หรือแนวโน้มการรับซื้อที่ผิดปกติ เพื่อไปแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
ตรวจสอบภาคสนาม: ทีมงานลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อระบบ AI ตรวจพบสัญญาณผิดปกติ
ประกาศเตือนภัย: เมื่อมีความเสี่ยงที่ราคาจะตกต่ำ ระบบจะออกประกาศเตือนภัยผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรวางแผนจัดการผลผลิตได้ทัน และจะเชื่อมต่อกับมาตรการทางนโยบายที่เตรียมไว้สำหรับการรักษาระดับราคาสินค้าโดยอัตโนมัติ
เป้าหมายความสำเร็จของนโยบายนี้เน้นความรวดเร็วในการนำไปใช้จริง โดยกำหนดเป้าหมาย ภายในปีแรกจะต้องดำเนินการสร้างระบบและแอปพลิเคชันติดตาม วิเคราะห์ และเตือนภัยราคาสินค้าเกษตร (public dashboard) ให้เสร็จสมบูรณ์และเริ่ม "ประกาศค่าเตือนภัย" ได้จริง เพื่อให้ทันต่อการใช้งานของเกษตรกร
งบประมาณในการดำเนินการ 2 ปี
ปี 2570: งบประมาณ 20 ล้านบาท
ปี 2571: งบประมาณ 20 ล้านบาท
รวมงบประมาณในการดำเนินการ 2 ปี: 40 ล้านบาท