ใช้เครื่องจักรปฏิวัติภาคเกษตร

ใช้เครื่องจักรปฏิวัติภาคเกษตร

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

ภาคการเกษตรของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญ นั่นคือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ของประชากรภาคเกษตร แรงงานหนุ่มสาวหลั่งไหลออกจากภาคการผลิต ในขณะที่ผู้ที่ยังคงทำการเกษตรอยู่ก็มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ การทำเกษตรแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงงานเข้มข้นจึงไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป 

นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์วิกฤตการณ์และความจำเป็นเร่งด่วน 3 ประการหลัก

  1. แก้ปัญหาสังคมสูงวัย: เกษตรกรไทยในปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการใช้แรงงานกายภาพลดลง จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรกลเข้ามาทุ่นแรง

  2. แก้ปัญหาการเข้าถึงเครื่องจักร: แม้จะมีความจำเป็น แต่เครื่องจักรกลการเกษตรหลายชนิดมีราคาแพง เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถเข้าถึงได้ หรือซื้อมาแล้วใช้งานไม่คุ้มค่า (Underutilized) ใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

  3. ลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อม: การขาดแคลนเครื่องจักรและแรงงาน นำไปสู่การแก้ปัญหาที่ผิดวิธี เช่น "การเผา" ตอซังหรือเศษวัสดุทางการเกษตรเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งง่ายและประหยัดกว่าการจ้างแรงงานหรือใช้เครื่องจักรไถกลบ นโยบายนี้จึงมุ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเพื่อลดการเผาและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนแรงงาน

 

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

นโยบายนี้ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การแจกเครื่องจักร แต่เป็นการสร้าง "ระบบนิเวศ" ของเครื่องจักรกลการเกษตรใหม่ โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ

  • ส่วนที่ 1 สนับสนุนการเข้าถึงเพื่อลดการเผา: รัฐบาลจะสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องจักรที่จำเป็นสำหรับการเตรียมดินและการจัดการเศษวัสดุ เช่น เครื่องกระจาย/รวบรวมฟาง เครื่องตัดอ้อย และเครื่องไถกลบใบอ้อย เพื่อหยุดวงจรการเผา

  • ส่วนที่ 2 สร้างผู้ให้บริการมืออาชีพ: สนับสนุนให้ "เกษตรกรรุ่นใหม่" (Young Smart Farmers) ผันตัวมาเป็น "ผู้ให้บริการทางการเกษตรแบบมืออาชีพ" (Agricultural Service Providers) โดยรัฐจะสนับสนุนทั้งเทคนิคความรู้และเงินทุน

  • ส่วนที่ 3 บริหารจัดการเครื่องจักรเดิม: แก้ไขปัญหาเครื่องจักรกลของกลุ่มแปลงใหญ่หรือกลุ่มเกษตรกรที่ถูกทิ้งร้างหรือใช้งานน้อย ให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด

  • ส่วนที่ 4 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา (R&D): สนับสนุนการลงทุนวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรภายในประเทศ เพื่อให้ตรงกับสภาพพื้นที่และความต้องการของเกษตรกรไทย

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

การขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 4 ส่วน มีกลไกการปฏิบัติที่ชัดเจน ดังนี้:

  1. กลไกเงินอุดหนุน (ส่วนที่ 1): การสนับสนุนเครื่องจักรเพื่อลดการเผา จะถูกผนวกรวมอยู่ใน "นโยบายจัดการดินและปุ๋ย" โดยเกษตรกรจะได้รับการสนับสนุนเบื้องต้นในอัตรา 250 บาทต่อไร่ สำหรับการจัดการแปลงโดยไม่เผา ซึ่งสามารถนำไปใช้จ้างบริการรถไถหรือเครื่องจักรได้

  2. กลไกสินเชื่อและการค้ำประกัน (ส่วนที่ 2): สำหรับผู้ที่จะเป็นผู้ให้บริการมืออาชีพ รัฐบาลจะจัดเตรียมงบประมาณสำหรับ (ก) การฝึกอบรมทักษะ (ข) สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (ค) การค้ำประกันสินเชื่อ และ (ง) ระบบการขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการ เพื่อสร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่น

  3. กลไกการหมุนเวียนทรัพยากร (ส่วนที่ 3): รัฐจะจัดตั้งงบประมาณสำหรับโครงการ "รับหมุนเวียนเครื่องจักร" ที่ใช้งานน้อยในพื้นที่หนึ่ง ไปสู่พื้นที่ที่ขาดแคลนหรือมีความเหมาะสมมากกว่า รวมถึงการสนับสนุนงบค่าซ่อมบำรุงและฝึกอบรมการใช้งานร่วมกับผู้ให้บริการรุ่นใหม่

  4. กลไกภาษี (ส่วนที่ 4): ใช้มาตรการทางภาษีเพื่อจูงใจ โดยพิจารณาแก้ไขอัตราภาษีนำเข้าสำหรับชิ้นส่วนอุปกรณ์ ลดหย่อนภาษีสำหรับเครื่องจักรประเภทที่ขาดแคลน และให้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับการวิจัยและพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตร


รายละเอียดขั้นตอนมีดังนี้ 

  1. การบูรณาการงบประมาณ: เริ่มต้นจากการจัดสรรงบประมาณส่วนแรก 250 บาท/ไร่ ลงสู่เกษตรกรผ่านโครงการจัดการดินเพื่อให้เกิดกำลังซื้อ (Demand) ในการจ้างงานเครื่องจักร

  2. การสร้าง Supply: เปิดรับสมัครเกษตรกรรุ่นใหม่และผู้สนใจ เข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะเป็นผู้ให้บริการเครื่องจักรกล ฝึกอบรมเทคนิคการซ่อมและการบริหารจัดการธุรกิจ

  3. การเข้าถึงแหล่งทุน: ผู้ผ่านการอบรมยื่นขอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินของรัฐ (เช่น ธ.ก.ส.) โดยมี บสย. ค้ำประกัน เพื่อจัดหาโดรน รถเกี่ยว หรือเครื่องจักรสมัยใหม่

  4. การบริหารจัดการทรัพย์สิน: หน่วยงานเกษตรในพื้นที่สำรวจเครื่องจักรเก่าของกลุ่มเกษตรกร ทำทะเบียนประวัติ และจัดสรรงบซ่อมแซมเพื่อนำกลับมาให้บริการ หรือโอนย้ายไปยังกลุ่มที่มีความพร้อม

  5. การส่งเสริม R&D: ภาครัฐประกาศรายการเครื่องจักรเป้าหมายที่ต้องการส่งเสริมการวิจัย (เช่น รถเก็บผลไม้) พร้อมกำหนดมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับภาคเอกชนที่ลงทุนวิจัย

เป้าหมายเชิงนโยบายภายใน 2 ปีคือ

  1. ลดต้นทุน: สามารถลดต้นทุนค่าบริการเครื่องจักรกลการเกษตรในพื้นที่ดำเนินการลงได้ 10%

  2. สร้างอาชีพ: สร้างผู้ประกอบการที่เป็น "ผู้ให้บริการการเกษตรมืออาชีพ" จำนวน 10,000 คน ทั่วประเทศ

  3. นวัตกรรมใหม่: เกิดการพัฒนาเครื่องจักรกลการเกษตรต้นแบบใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์พืชเศรษฐกิจไทย


สำหรับงบประมาณของนโยบายนี้ ถูกจัดสรรรวมอยู่ในนโยบายการจัดการดินและปุ๋ย