ในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศมีความเข้มข้นขึ้น มาตรฐานสินค้าเกษตรได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกีดกันทางการค้าและการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค พรรคประชาชนได้เล็งเห็นถึงความสำคัญเร่งด่วนในการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรไทย เราจึงต้องมีข้อเสนอในการสนับสนุนและพัฒนาระบบการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร ทั้ง GAP, เกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานอื่นๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในตลาดโลก
สถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับสภาวะ "สงครามการค้า" ที่รุนแรงขึ้น ประเทศคู่ค้าต่างๆ มีแนวโน้มที่จะนำเกณฑ์มาตรฐานสินค้าเกษตรที่เข้มงวดขึ้นมาใช้เป็น "กติกาการค้าใหม่" หรือมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers)
สำหรับประเทศไทย แม้จะมีระบบมาตรฐานสินค้าเกษตร เช่น GAP (Good Agricultural Practice) และเกษตรอินทรีย์ (Organic) ใช้งานอยู่แล้ว แต่ปัญหาสำคัญคือ "คอขวด" ในกระบวนการตรวจประเมิน ทำให้การให้บริการตรวจรับรองยังไม่ครอบคลุมเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศและการขาดแคลนทรัพยากรและงบประมาณในการตรวจรับรองทำให้เกษตรกรจำนวนมากเสียโอกาสในการเข้าถึงตลาดที่มีมูลค่าสูง ดังนั้น นโยบายนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพ ทรัพยากร และงบประมาณในการตรวจรับรองมาตรฐานให้เพียงพอและครอบคลุมเกษตรกรให้ได้มากที่สุด
หัวใจหลักของนโยบายนี้คือการให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรสำหรับเกษตรกร โดยมุ่งเน้นการลดภาระต้นทุนให้กับเกษตรกรรายย่อย และสร้างกลไกใหม่ในการตรวจประเมินที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สินค้าเกษตรไทยได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ทั้งมาตรฐาน GAP, เกษตรอินทรีย์ และมาตรฐานอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ
แนวทางการดำเนินงานของนโยบายนี้ ประกอบด้วย 3 กลไกหลัก ดังนี้:
การสนับสนุนงบประมาณโดยตรง: รัฐบาลจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรให้กับเกษตรกร โดยจะมีการแยกประเภทการสนับสนุนตามความต้องการของเกษตรกรแต่ละกลุ่ม เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด
การสร้างผู้ตรวจประเมินภาคเอกชน: รัฐบาลจะส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้ตรวจประเมิน เพื่อลดข้อจำกัดด้านกำลังคนของภาครัฐ โดยสนับสนุนให้ เกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Farmers - YSF) หรือ กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ พัฒนาศักยภาพขึ้นมาเป็นผู้ตรวจประเมินมาตรฐานให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ต่อไป ซึ่งเป็นการสร้างงานและกระจายรายได้สู่ชุมชนอีกทางหนึ่ง
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล: จะมีการพัฒนาระบบการตรวจรับรองมาตรฐานผ่านแอปพลิเคชัน "Dragonfly" ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ในอนาคต เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความโปร่งใสในกระบวนการตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน
ขั้นตอนที่ 1 การจำแนกและสนับสนุน: การสำรวจและเปิดลงทะเบียนเกษตรกรที่ต้องการขอรับรองมาตรฐาน โดยแบ่งกลุ่มตามประเภทพืชและมาตรฐานที่ต้องการ (GAP/อินทรีย์) จากนั้นจัดสรรงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนด (5,000 บาทต่อราย)
ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาบุคลากร: ดำเนินการฝึกอบรมและขึ้นทะเบียน Young Smart Farmers และตัวแทนกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ ให้เป็นผู้ตรวจประเมินที่ได้รับการรับรอง เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบแปลงเกษตรกรในพื้นที่
ขั้นตอนที่ 3 การใช้เทคโนโลยี: นำแอปพลิเคชัน Dragonfly มาใช้ในการเก็บข้อมูลพิกัดแปลง การจัดการฟาร์ม และการประเมินเบื้องต้น เพื่อลดขั้นตอนเอกสารและระยะเวลาในการลงพื้นที่
ตั้งเป้าหมายให้ฟาร์มเกษตรกรจำนวน 2,000,000 ราย จะต้องได้รับการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรภายใน 2 ปี
โดยคาดการณ์งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการดังนี้
อัตราค่าใช้จ่ายในการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร 5,000 บาท ต่อราย เป้าหมายรวม 1,000,000 ราย ต่อปี
รวมงบประมาณดำเนินการ 2 ปี 10,000 ล้านบาท
ปีที่ 1 (พ.ศ. 2570): ใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท
ปีที่ 2 (พ.ศ. 2571): ในงบประมาณ 5,000 ล้านบาท