โปรแกรมฝึกอบรมครู ที่ครูและโรงเรียนเลือกเอง

การพัฒนาครูเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา แต่ที่ผ่านมาการอบรมพัฒนาครูขาดเป้าหมาย ไม่สามารถสะท้อนความสำเร็จผ่านคุณภาพของผู้เรียน กลายเป็นสิ่งที่ดึงครูออกจากห้องเรียน

โปรแกรมฝึกอบรมครู ที่ครูและโรงเรียนเลือกเอง

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

  1. การอบรมแบบ "เสื้อโหล" (One Size Fits All): คำสั่งจากส่วนกลางมักกำหนดหัวข้ออบรมแบบเดียวกันทั้งประเทศ โดยไม่สนใจบริบทที่ต่างกันระหว่างโรงเรียน (เช่น ครูโรงเรียนบนดอย กับ ครูโรงเรียนในเมือง อาจต้องการทักษะที่ต่างกัน) ทำให้ครูต้องอบรมในสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์หน้างานจริง

  2. วัฒนธรรม "ล่าใบประกาศ": ระบบการประเมินวิทยฐานะเน้นการ "สะสมชั่วโมงและเกียรติบัตร" ทำให้เกิดการ "อบรมทิพย์" หรือการเข้าอบรมเพียงเพื่อผลการประเมิน แต่ไม่ได้นำความรู้มาใช้พัฒนาเด็กจริง

  3. ปัญหา "ครูไม่อยู่ ไปราชการ": แม้ปัจจุบันมีการอบรมออนไลน์มากขึ้น แต่การดึงครูออกจากห้องเรียนไปอบรมตามสถานที่ต่างๆ ยังคงมีอยู่ ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าการพัฒนาครูควรเบียดเบียนเวลาเรียนของเด็กหรือไม่

  4. ความล้มเหลวของระบบติดตาม: การอบรมมักจบลงที่ "การถ่ายรูปหมู่" แต่ขาดระบบพี่เลี้ยง (Coaching) ในห้องเรียนจริง ทำให้ความรู้ที่เรียนมาไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติหรือต่อยอดอย่างต่อเนื่อง

  5. PLC ที่กลายเป็น "ภาระเอกสาร": ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ที่ควรจะเป็นการล้อมวงคุยเพื่อแก้ปัญหาเด็ก กลับถูกทำให้กลายเป็นการทำเอกสารเท็จย้อนหลังเพียงเพื่อให้ครบตามเกณฑ์

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

เราเสนอการปฏิรูปการพัฒนาครูโดยใช้ "โรงเรียนเป็นฐาน" (School-Based Training) ดังนี้:

  1. ครูและโรงเรียนเลือกเอง: ให้ครูและผู้บริหารกำหนดหัวข้ออบรมตามปัญหาจริงที่เจอในห้องเรียน หรือตามสิ่งที่ต้องการพัฒนา

  2. วัดผลที่ตัวเด็ก (Focus on Outcome): เลิกนับชั่วโมงอบรม เลิกนับใบประกาศ แต่ใช้ "การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของนักเรียน" เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการอบรม

  3. งบประมาณตรงสู่โรงเรียน (Demand-side Budgeting): รัฐบาลจัดสรรงบประมาณพัฒนาครูเป็นเงินก้อน (Grant) ส่งตรงถึงโรงเรียน เพื่อให้โรงเรียนบริหารจัดการจัดซื้อคอร์สหรือจ้างวิทยากรที่ตอบโจทย์พื้นที่ได้เอง

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

  1. ครูและโรงเรียนเลือกเอง (School-Based Training)

    • กระทรวงศึกษาธิการออกแบบคู่มือแนวทางการดำเนินงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน มุ่งหวังให้โรงเรียนสามารถสร้างกระบวนการพัฒนาครูภายในโรงเรียนได้เอง โดยอาจใช้กลไกของฝ่ายวิชาการในโรงเรียนเป็นฝ่ายตั้งต้น

    • สมศ. กำหนดมาตรฐานการปฏิบัติงานในโรงเรียน ให้สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน

    • ออกประกาศกระทรวงถึงแนวทางในการดำเนินงานภายในสถานศึกษาและซักซ้อมความเข้าใจในการดำเนินงานร่วมกับเขตพื้นที่อย่างใกล้ชิด

  2. วัดผลที่ตัวเด็ก (Focus on Outcome)

    • รมว.ศึกษาธิการ สื่อสารสาธารณะถึงแนวปฏิบัติของกระทรวงที่จะดำเนินการภายใต้วัฒนธรรมรับผิดรับชอบ (Accountability) 

    • กำหนดให้ กคศ. ออกแบบแนวทางการประเมินวิทยฐานะที่สอดคล้องกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน 

    • ออกประกาศกระทรวงถึงแนวทางในการดำเนินงานภายในสถานศึกษาและซักซ้อมความเข้าใจในการดำเนินงานร่วมกับเขตพื้นที่อย่างใกล้ชิด

  3. งบประมาณตรงสู่โรงเรียน (Demand-side Budgeting)

    • รมว.ศึกษาธิการ มอบหมายให้ตั้งกรอบงบประมาณในการพัฒนาครู คนละไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท โดยจะเป็นงบประมาณที่ส่งตรงไปยังโรงเรียน

    • รมว.ศึกษาธิการ นำกรอบงบประมาณเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนออนุมัติ 

    • กระทรวงออกแบบแนวทางการใช้งบประมาณเพื่อซักซ้อมความเข้าใจกับหน่วยปฏิบัติ

    • ตั้งคณะกรรมการติดตามและประเมินโครงการเพื่อนำข้อมูลมาปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง