ลดงานครู ลดงานธุรการ เพิ่มระบบดิจิทัล

"อยากสอนแต่ไม่ได้สอน" คือเสียงสะท้อนความล้มเหลวของระบบบริหารจัดการที่ผลักภาระงานสนับสนุนไปให้ครูผู้สอน ทำให้ครูมีภาระงานล้นเกิน กลายเป็นแผลเรื้อรังของการศึกษาไทย

ลดงานครู ลดงานธุรการ เพิ่มระบบดิจิทัล

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

  1. กับดักงานธุรการ: ครูต้องรับบทบาทที่ตนเองไม่ถนัด ทั้งนักบัญชีและฝ่ายจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมีความเสี่ยงทางกฎหมายสูง ทำให้แทนที่จะได้ใช้เวลาเพื่อเตรียมการสอน กลับต้องจมอยู่กับกองเอกสารจัดซื้อจัดจ้าง

  2. มหกรรมประเมินและดูงาน: ระบบการประเมินวิทยฐานะหรือการประเมินโรงเรียน ที่เน้น "เล่มรายงาน" และ "การจัดบอร์ดนิทรรศการ" เพื่อต้อนรับคณะกรรมการ คือการทำผักชีโรยหน้าที่ขโมยเวลาคุณภาพที่ครูควรจะได้อยู่กับเด็ก

  3. ภาระงานนอกเหนือหน้าที่ (Non-Academic Duties): งานนโยบายรายวันและงานจิปาถะ (เช่น รายงานโครงการ งานประชาสัมพันธ์ งานอาคารสถานที่) ที่สั่งการแบบบนลงล่าง (Top-down) บีบให้ครูต้องเตรียมพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง จนสูญเสียสมดุลชีวิต

    • ผู้เรียนเสียโอกาส: ครูขาดเวลาเตรียมการสอนและดูแลเด็กเป็นรายบุคคล ทำให้การเรียนการสอนขาดประสิทธิภาพและเข้าไม่ถึงเด็กกลุ่มเปราะบางฃ

    • วิกฤตศรัทธาวิชาชีพ: ครูรุ่นใหม่เกิดภาวะหมดไฟ (Burnout) และปัญหาสุขภาพจิตสะสมจากการทำงานที่ไม่ถนัดและความกดดันจากการถูกตรวจสอบ นำไปสู่การลาออกหรือย้ายสายงาน 

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

เรามุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ต้นตอ ดังนี้:

  1. จ้างเจ้าหน้าที่สายสนับสนุน (Support Staff) คืนครูสู่ห้องเรียน: กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรงบประมาณจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการ การเงิน และนักการภารโรงให้ครบทุกโรงเรียน ด้วยรูปแบบและอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับภาระและทักษะที่ใช้ในการทำงาน เพื่อให้ครูทำหน้าที่ "สอน" เพียงอย่างเดียว

  2. ยกเครื่องระบบประเมิน (Evaluation Reform):

    • ลดเอกสาร: เปลี่ยนจากการตรวจเล่มรายงาน เป็นการดูพัฒนาการจริงของผู้เรียน 

    • ลดพิธีกรรม: ยกเลิกการจัดตั้งนิทรรศการต้อนรับกรรมการที่สิ้นเปลืองงบประมาณและเวลา 

    • ใช้ Big Data: เชื่อมโยงข้อมูลจากส่วนกลาง ไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำซ้อนในหลายแพลตฟอร์ม

  3. ปฏิรูประบบงบประมาณและแก้กฏหมาย: ให้สามารถทำงานเอกสารที่จำเป็นผ่านระบบดิจิทัลได้

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

  1. จัดทำแผนกรอบอัตรากำลังสายสนับสนุน

    • จัดทำแผนอัตรากำลังใหม่: รมว.ศึกษาธิการ ร่วมกับ สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ จัดทำแผนที่เปลี่ยนภาระงานจาก "ครู" ไปสู่ "พนักงานสายสนับสนุน" อย่างเป็นระบบ

    • ระบุรายละเอียดความต้องการ: เอกสารต้องระบุจำนวนบุคลากรที่ต้องการในแต่ละตำแหน่ง (ธุรการ, การเงิน, ภารโรง) และประเมินงบประมาณผูกพันต่อเนื่องให้ชัดเจน

    • นำเสนอต่อบอร์ดบริหารระดับชาติ: นำเสนอแผนดังกล่าวต่อ "คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ" (คปร.) เพื่อขออนุมัติกรอบอัตรากำลังและงบประมาณในภาพรวมของประเทศ

  2. ยกเครื่องระบบการประเมิน

    • เปลี่ยนเกณฑ์การประเมิน: มอบหมายให้ กคศ. ออกหนังสือเวียนกำหนดแนวทางการประเมินครูใหม่ โดยพิจารณาจาก "ความก้าวหน้าของผู้เรียนในชั้นเรียน" ที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้กลไกการนิเทศภายในตามแนวคิดการใช้โรงเรียนเป็นฐาน

    • สร้างความเข้าใจเชิงนโยบาย: จัดประชุมซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับเขตพื้นที่การศึกษา และกองการเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

  3. ปฏิรูประบบงบประมาณและแก้กฏหมาย

    • แก้ไข พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างฯ พ.ศ. 2560 เพื่อรองรับ:

      • ลายเซ็นดิจิทัล: ให้เอกสารการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสามารถทำบนระบบอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงเป็นหลักฐานการเบิกจ่าย การรับรองได้

      • กระจายอำนาจ: มอบอำนาจให้พนักงานราชการหรือผู้ได้รับมอบหมาย เซ็นรับรองได้ ไม่จำกัดเฉพาะข้าราชการเท่านั้น

      • ความเป็นธรรมแก่ผู้ปฏิบัติ: ปรับปรุงบทบัญญัติในกรณีที่สินค้าไม่ตรงตาม TOR ให้เป็นความผิดของผู้รับจ้างด้วย เพื่อลดภาระทางกฎหมายของครู

    • ออกประกาศกระทรวงและหนังสือเวียน:พื่อซักซ้อมแนวทางการทำงาน การเก็บเอกสารทางราชการแบบอิเล็กทรอนิกส์

    • ร้าง Marketplace เพื่อการศึกษา: พัฒนาแพลตฟอร์มจัดซื้อจัดจ้างให้ครูสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ตามความต้องการ ตามกรอบงบประมาณที่ได้รับจัดสรร โดยไม่ต้องทำเอกสาร