ระบบอาชีวศึกษาของไทยเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้าง 3 ประการที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ความไม่สอดคล้องของทักษะ (Job Mismatch): การผลิตกำลังคนยังยึดติดกับศักยภาพของสถานศึกษา (Supply-side) มากกว่าความต้องการจริงของธุรกิจ (Demand-side) โดยเฉพาะกลุ่มช่างฝีมือและผู้ควบคุมเครื่องจักรในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve)
ระบบทวิภาคีที่ขาดความต่อเนื่อง
การเรียนรู้ในสถานประกอบการมักขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริหารสถานศึกษา
ขาดกลไกที่เข้มแข็งในการประสานความร่วมมือระหว่างฝ่ายผลิต (สถานศึกษา) และฝ่ายผู้ใช้ (ภาคเอกชน)
ขาดฐานข้อมูลกำลังคนที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ
ครูช่างในระบบมีจำนวนไม่เพียงพอที่จะดูแลคุณภาพการฝึกงานอย่างทั่วถึง
ช่องว่างทักษะศตวรรษที่ 21: นายจ้างสะท้อนว่าบัณฑิตอาชีวะมีทักษะปฏิบัติที่ดี แต่ยังขาดทักษะด้านภาษาต่างประเทศ และทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการทำงานยุคใหม่
เรามุ่งเปลี่ยนระบบอาชีวศึกษา จาก "ทางเลือกที่สอง" (Second Choice) ให้เป็น "ทางเลือกหลักที่ยืดหยุ่น" (Primary & Flexible Pathway) ที่คนทุกช่วงวัยเข้าถึงได้ ตามแนวคิดความยืดหยุ่นของ TAFE (Technical and Further Education)
อาชีวะเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต: พลิกบทบาทวิทยาลัยอาชีวะให้เป็นศูนย์ Reskill/Upskill สำหรับคนทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ในระยะเวลาสั้น
ประชาสัมพันธ์เส้นทางอาชีพ (Career Pathway): นำเสนอเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพและอัตราผลตอบแทน เพื่อเปลี่ยนสู่ภาพจำใหม่ว่า “สายอาชีพ” คือเส้นทางของงานที่มีคุณภาพ เป็นกำลังหลักในการแก้ปัญหาของสังคม
มุ่งผลิตกำลังคนตามความต้องการจริงของภาคธุรกิจ (Demand-Based): เร่งแก้ปัญหาขาดแคลนครูช่าง และสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การอาชีวศึกษาพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน"
เราจะดำเนินการพัฒนาระบบอาชีวศึกษาในแต่ละด้านดังนี้
1. ด้านบุคลากรและศักยภาพครู
แก้ปัญหาขาดแคลนครูช่าง: เร่งปรับเกลี่ยอัตรากำลังและเพิ่มอัตราครูจ้างอาชีวศึกษา เพื่อให้มีผู้ถ่ายทอดทักษะเพียงพอต่อการขับเคลื่อนหลักสูตรฐานสมรรถนะและระบบทวิภาคี
พัฒนาครูร่วมกับเอกชน: ส่งเสริมให้ครูพัฒนาสมรรถนะด้านการวิจัยและออกแบบหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชนอย่างสม่ำเสมอ
2. ด้านผู้เรียนและแรงจูงใจ
สนับสนุนค่าครองชีพและทุนการศึกษา: เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้เรียนด้วยการเรียนฟรี จัดสรรทุนการศึกษา และส่งเสริมรายได้ระหว่างเรียน โดยเฉพาะในสาขาที่ประเทศขาดแคลน
ยกระดับทักษะดิจิทัลและ AI: นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในหลักสูตร ปวส. ทุกหลักสูตร เพื่อปิดช่องว่างทักษะดิจิทัลตามความต้องการของตลาดแรงงาน
3. ด้านงบประมาณและทรัพยากร
งบสนับสนุนหลักสูตรขาดแคลน: จัดสรรเงินทุน (เช่น 1-3 ล้านบาทต่อหลักสูตร สำหรับแต่ละสถานศึกษา) เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์และเทคโนโลยีใหม่สำหรับสาขาที่ขาดแคลนหรือต้องปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
ใช้ทรัพยากรเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต: ผลักดันให้สถานศึกษาเป็นศูนย์ฝึกอบรม Upskill/Reskill ให้แก่คนในสังคม โดยใช้ทรัพยากรหรือสถานที่ที่ว่างอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
4. ด้านระบบทวิภาคีและเครือข่าย
จัดตั้งศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี: ให้เป็นหน่วยงานหลักที่มีภารกิจและทรัพยากรที่ชัดเจน ในโครงสร้างของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และพัฒนากลไกให้ภาคผู้ประกอบการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนหลักสูตร จะช่วยให้การปรับเปลี่ยนหลักสูตรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษีแบบ BOI: กำหนดกรอบระยะเวลาและความรับผิดชอบที่ชัดเจนของความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการ ในการจัดทำแผนการเรียนและแผนการฝึกอาชีพตลอดหลักสูตร เพื่อให้ระบบทวิภาคีเกิดความยั่งยืน โดยภาคเอกชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีคล้ายคลึงกับการส่งเสริมการลงทุนของ BOI
ศูนย์ช่วยเหลือผู้เรียนรายภูมิภาค: จัดตั้งศูนย์ประสานงานติดตามและช่วยเหลือผู้เรียนในระบบทวิภาคีในแต่ละภูมิภาค เพื่อป้องกันการหลุดออกจากระบบ
5. การสร้างฐานข้อมูลตลาดแรงงาน เชื่อมโยงข้อมูลการผลิตกำลังคนของ สอศ. กับความต้องการจริงของตลาดแรงงานแบบ Real-time เพื่อใช้ในการตัดสินใจปรับปรุงหลักสูตร
6. ด้านการสร้างความเชื่อมั่นจากสังคม ส่งเสริมกิจกรรมศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center) และกิจกรรมอาชีวะอาสา เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติจริงของผู้เรียน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมผ่านการบริการสาธารณะ