1. จัดตั้งองค์กรบริหารจัดการแบบมืออาชีพ
- จัดตั้งหน่วยงานรูปแบบบริษัทมหาชนจำกัด (รัฐวิสาหกิจ หรือ รัฐร่วมเอกชน) เพื่อความคล่องตัว โดยมีผู้ถือหุ้นหลัก เช่น สสว., ไปรษณีย์ไทย, DGA และธนาคารรัฐ
- จ้างทีมบริหารมืออาชีพที่มีประสบการณ์ด้าน อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) และ สตาร์ทอัพเทคโนโลยี (Tech Startup) มาขับเคลื่อนแทนระบบราชการเดิม
2. พัฒนาและเชื่อมต่อระบบ (Connect & Integrate)
- ฝั่งผู้ซื้อ (Buyer Side): เชื่อมต่อ API กับ Super App ที่คนไทยใช้อยู่แล้ว เช่น แอป "เป๋าตัง", "ทางรัฐ", แอปธนาคาร (เช่น K+, SCB), ไปรษณีย์ไทย, AIS หรือ True ให้ประชาชนช้อปปิ้งได้ทันทีโดยไม่ต้องโหลดแอปใหม่
- ฝั่งผู้ขาย (Seller Side): เชื่อมต่อกับระบบจัดการร้านค้า (SaaS/POS/ERP) ของเอกชนไทยที่ผู้ประกอบการใช้อยู่แล้ว เพื่อดึงข้อมูลสินค้าขึ้นระบบอัตโนมัติ
- ฝั่งโครงสร้างพื้นฐาน: เชื่อมระบบขนส่งกับ ไปรษณีย์ไทย และเอกชนไทยเพื่อรองรับ การบริหารคลังสินค้าและจัดส่ง (Fulfillment) ในราคาประหยัด และใช้ระบบชำระเงินของธนาคารไทย
- 3. ระยะทดสอบและขยายผล (Pilot & Scale)
- ระยะที่ 1 (Sandbox 6 เดือนแรก): นำร่องในจังหวัดเป้าหมาย เช่น จันทบุรี และ ตราด เน้นสินค้าเกษตรและผลไม้เพื่อแก้ปัญหาราคาพืชผล
- ระยะที่ 2: ขยายสู่สินค้า OTOP และ SME ทั่วประเทศ พร้อมดึงเอกชนรายใหญ่ (Retailers) และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเข้ามาร่วมในระบบนิเวศ
4. มาตรการจูงใจและสนับสนุนจากรัฐ (Incentives)
- สนับสนุนผ่านนโยบายรัฐ: กำหนดให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (เช่น คนละครึ่งเฟสใหม่) ต้องใช้จ่ายผ่านระบบ OCN เพื่ออุดหนุนสินค้าไทยโดยตรง
- สิทธิประโยชน์ด้านภาษี: มอบส่วนลดภาษีหรือค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับสินค้า Made in Thailand ที่ขายผ่านระบบนี้