ภาคการผลิตของไทยมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ปัจจุบันเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ
การทะลักของสินค้านำเข้าราคาต่ำ: ผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทยไทย กำลังถูกกดดันอย่างหนักจากสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ แม้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในไทยอาจมีคุณภาพสูงกว่า แต่ในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและไม่แน่นอน ผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกความคุ้มค่ามากกว่าคุณภาพ
ภาระค่าไฟและประสิทธิภาพพลังงาน: ครัวเรือนไทยจำนวนมากยังคงใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่กินไฟสูง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายรายเดือนพุ่งสูงและขัดแย้งกับเป้าหมายของประเทศที่ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2573
เสนอนโยบาย “เปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า” อุดหนุนการเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าของประชาชน เพื่อตอบโจทย์ 3 เป้าหมาย
กระตุ้นการบริโภคระยะสั้น ลดค่าใช้จ่ายของครัวเรือนโดยการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคครัวเรือน
ใช้เงินภาครัฐเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนภาคเอกชน
โดยดำเนินการผ่าน 2 โครงการหลัก
1. โครงการร่วมจ่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในครัวเรือน เพื่อกระตุ้นฝั่งอุปสงค์ (ประชาชน)
รัฐช่วยออกค่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ในสัดส่วน 50% (สูงสุดไม่เกิน 5,000 บาท) โดยมีรายละเอียดดังนี้:
เงื่อนไขสินค้า: ต้องเป็นสินค้าที่ผลิตในไทย (Made in Thailand) และได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 3-5 ดาวเท่านั้น
ระบบเก่าแลกใหม่: สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูงอย่าง เครื่องปรับอากาศและตู้เย็น ต้องนำเครื่องเก่ามาแลกเพื่อรับสิทธิ เพื่อให้รัฐนำไปรีไซเคิลหรือกำจัดอย่างถูกวิธี
ประสบความสำเร็จมาแล้วในต่างประเทศ (เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก) ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพิ่มยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้า
2. โครงการอุดหนุนการใช้เทคโนโลยีภาคการผลิตภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นฝั่งอุปทาน (SMEs)
รัฐมอบเงินสนับสนุนแบบให้เปล่าแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สัดส่วน 30–50% (สูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท) ต่อโครงการ
เน้นการจัดซื้อเครื่องจักรเฉพาะทาง การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ การทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ร่วมกับมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัยของรัฐ