วิกฤตที่แก้ไม่ได้ด้วยวิธีเดิม: ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ไฟป่า และฝุ่น PM 2.5 ที่ประเทศไทยต้องเผชิญในทุกๆ ปี ต้องการข้อมูลที่แม่นยำระดับวินาทีจากอวกาศเพื่อนำมาแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
ความเสี่ยงถูกผูกขาด: หากไทยไม่เริ่มสร้างเทคโนโลยีเองตอนนี้ เราจะกลายเป็นเพียง "ผู้ซื้อ-ผู้ใช้-ผู้รับจ้างผลิต” ที่ถูกผูกขาดโดยเจ้าของเทคโนโลยีระดับโลก และพลาดโอกาสในตลาดเศรษฐกิจอวกาศที่คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
เราจะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ "3 เสาหลักอวกาศไทย" เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นโอกาสใหม่:
เสาหลักที่ 1: อวกาศเพื่อแก้ปัญหา ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาที่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอวกาศในการแก้ไขและป้องกัน เช่น น้ำท่วม ไฟป่า ภัยความมั่นคงรอบพรมแดน จากสแกมเมอร์ การโจมตีทางไซเบอร์
เสาหลักที่ 2: สร้างเศรษฐกิจอวกาศ ประเทศไทยมีความพร้อมระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถปลดล็อกศักยภาพได้อย่างเต็มที่ รัฐต้องเป็นผู้ลงทุนให้เกิด “เศรษฐกิจอวกาศ” และเป็นผู้ใช้รายแรก โดยนำปัญหาจากเสาหลักที่ 1 เป็นตัวตั้งเพื่อกำหนดการลงทุนของรัฐ
เสาหลักที่ 3: วางรากฐานอวกาศไทย การพัฒนาด้านอวกาศของไทยในปัจจุบันยังมีลักษณะต่างคนต่างทำและขาดนโยบาย จึงจำเป็นต้องวางรากฐานอย่างจริงจัง ผ่านการออกกฎหมายเฉพาะและจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ
เสาหลักที่ 1 อวกาศเพื่อแก้ปัญหา
เพิ่มขีดความสามารถในการเก็บข้อมูล: นำเทคโนโลยี Geoinformatics มาใช้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์, Radar, Lidar, โดรน และดาวเทียม
ปรับปรุงแผนดาวเทียม: ให้ GISTDA ผลิตและส่งดาวเทียมที่ตอบโจทย์ปัญหาจริงของประเทศ
เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นการกระทำ (Actionable Data): รัฐต้องมีบทบาทสั่งการให้เก็บและนำข้อมูลมาใช้จริง ไม่ใช่แค่ดูข้อมูลเฉยๆ
เปิดข้อมูลสู่สาธารณะ: เพื่อให้ภาคเอกชนนำไปต่อยอดและสร้างนวัตกรรมใหม่
ความมั่นคงและอธิปไตย: รัฐบาลร่วมมือกับกองทัพลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (Defense Tech) เช่น UAVs, โดรนสอดแนม และดาวเทียมด้านความมั่นคงของตนเอง
เสาหลักที่ 2 สร้างเศรษฐกิจอวกาศ
รัฐเป็นผู้นำ: รัฐต้องเป็นผู้กำหนดทิศทาง ผู้ลงทุน และเป็น "ผู้ซื้อรายแรก"
เน้นสินค้าไทย (Local Content): กำหนดสัดส่วนการใช้อุปกรณ์ที่ออกแบบและประกอบในไทยให้ใกล้เคียง 100% และจัดซื้อจากเอกชนไทยในสัดส่วนที่สูงที่สุด
หนุนผู้ประกอบการรายเล็ก: เปิดโอกาสสตาร์ตอัปได้ส่งผลิตภัณฑ์ไปทดสอบในอวกาศ
ปฏิรูปการวิจัย: โดยรัฐต้องดำเนินการ
จัดสรรงบประมาณแบบต่อเนื่องหลายปี (Multi-Years)
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่เอกชนทำเองไม่ได้ แล้วเปิดให้เอกชนเข้าใช้
ส่งเสริมให้เอกชนรายเล็กและรายใหญ่ ร่วมมือวิจัยด้านอวกาศที่มุ่งแก้ไขปัญหาของประเทศ และงานวิจัยที่มุ่งหาเทคโนโลยีเชิงลึกล้ำสมัย (Frontier Tech, Deep Tech) เทคโนโลยีอวกาศที่ถูกปรับใช้ในอุตสาหกรรมอื่น (Spin-Off Tech)
บูรณาการหน่วยงานสนับสนุน:
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) หรือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA): ส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศผ่านกลไกกองทุนและการร่วมลงทุนที่ชัดเจน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และกระทรวงการคลัง: ตั้งกองทุนและสนับสนุน Venture Capital เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนและส่งเสริมเอกชนบุกตลาดต่างประเทศ พร้อมหามาตรการช่วยเหลือทางภาษี
กรมทรัพย์สินทางปัญญา: เร่งส่งเสริมการจดสิทธิบัตรด้านอวกาศ
กรมศุลกากร: อำนวยความสะดวกในการนำเข้าชิ้นส่วนเทคโนโลยี
แก้ไขกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ: ปรับปรุงแนวทางและกำหนดโจทย์การจัดซื้อจัดจ้างเพื่อนวัตกรรม ร่วมกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
การสร้างบุคลากร:
เพิ่มสาขาวิชาวิศวกรรมอวกาศในมหาวิทยาลัยไทย
ให้ทุนส่งคนไทยไปศึกษาหรือทำงานในองค์กรอวกาศชั้นนำระดับโลก
มีนโยบายดึงตัวผู้เชี่ยวชาญคนไทยในต่างประเทศให้กลับมาช่วยพัฒนาและทำงานในประเทศ
เสาหลักที่ 3 วางรากฐานอวกาศไทย
จัดระเบียบกฎหมาย: เร่งออกกฎหมายกำกับกิจการอวกาศที่ชัดเจนและครอบคลุม
องค์กรอิสระ: จัดตั้งสำนักงานกำกับกิจการอวกาศ ทำหน้าที่กำกับดูแล (Regulator)
แผนแม่บทอวกาศ: จัดทำแผนที่สมเหตุสมผล เหมาะกับสถานการณ์ และมีการจัดลำดับความสำคัญ โดยให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
ยกระดับสู่มาตรฐานสากล: ปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรฐานองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อให้ไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานอวกาศโลก (Global Supply Chain) ได้อย่างรวดเร็ว