เพิ่มบทบาทไทยในซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์

ยกระดับไทยจากฐานการผลิตสู่ผู้ออกแบบชิป อัดฉีดงบหนุนโรงงานผลิตชิปเฉพาะทางที่ไทยเก่ง พร้อมช่วยเหลือสตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์ออกแบบ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและแข่งขันในห่วงโซ่โลก

เพิ่มบทบาทไทยในซัพพลายเชนเซมิคอนดักเตอร์

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) หรือ "ไมโครชิป" คือสมองกลที่อยู่ในทุกอุปกรณ์ตั้งแต่สมาร์ทโฟน ยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบ AI ประเทศไทยต้องยกระดับบทบาทจากเพียง "ฐานการผลิต สู่การเป็น "เจ้าของนวัตกรรมและองค์ความรู้" เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและประกันการเติบโตของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างยั่งยืน

  1. เป็นหัวใจของมูลค่าการส่งออก: สินค้าส่งออกของไทยกว่า 40% (มูลค่าราว 4 ล้านล้านบาทต่อปี) ต้องพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมนี้จึงมีความสำคัญมาก ประเทศไทยยังอยู่ระหว่างการจัดทำยุทธศาสตร์ ในขณะที่เพื่อนบ้านขยับตัวไปไกลแล้ว

  2. การแข่งขันที่รุนแรงในภูมิภาค: ประเทศอย่างมาเลเซียและเวียดนามมีการออกนโยบายที่ชัดเจนและการสร้างแรงจูงใจดึงดูดนักลงทุนระดับโลก หากไทยยังไม่มียุทธศาสตร์และมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างเป็นรูปธรรม เราจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในห่วงโซ่อุปทานโลก

 

เราจะทำอะไร (WHAT)

เราจะขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างเร่งด่วน 

  1. จัดตั้งกลไกขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญ: ตั้ง "คณะกรรมการอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ" ที่ประกอบด้วยตัวจริงในวงการ มากำกับดูแลทั้งระบบ ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การประกอบและทดสอบ ไปจนถึงการพัฒนาบุคลากร

  2. สร้างความเชื่อมั่นด้วยงบประมาณต่อเนื่อง: จัดตั้งกองทุนสนับสนุนเพื่อความต่อเนื่องในระยะยาว จูงใจให้นักลงทุนกล้าลงเม็ดเงินมหาศาล พร้อมออกนโยบายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและนโยบายส่งเสริมให้ผู้ผลิตรายใหญ่เลือกใช้ไมโครชิปและชิ้นส่วนซึ่งออกแบบหรือผลิตในประเทศไทย (Design in Thailand: DIT)

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

สนับสนุนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยทีมที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ มีนโยบายหลัก ดังนี้

  1. หนุนสินค้าที่ออกแบบในไทย (Designed in Thailand: DIT)
    • รัฐใช้กลไกการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อให้แต้มต่อด้านราคา และให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีหรือการสนับสนุนอื่นๆ แก่ผลิตภัณฑ์ที่หันมาใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ออกแบบหรือผลิตในประเทศ 
    • การขึ้นทะเบียนหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ต้องมีมาตรฐานที่สูงกว่าบัญชีนวัตกรรมไทยที่มีอยู่ในปัจจุบัน 
    • รัฐจะทำหน้าที่เป็น "ลูกค้าอ้างอิง" (Reference Customer) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ผลิตภัณฑ์เติบโตต่อยอดสู่ตลาดโลกได้
  2. ประกาศแผนการจัดซื้อล่วงหน้า (Forward Procurement)
    • รัฐจะแจ้งรายการและคุณสมบัติสินค้าที่จะต้องซื้อในโครงการขนาดใหญ่ล่วงหน้าหลายปี (เช่น มิเตอร์อัจฉริยะ, ระบบประปา, ระบบขนส่ง) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวลาเพียงพอในการ "วิจัยและพัฒนา" สินค้าให้ทันมาตรฐานที่กำหนด และยังช่วยดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งศูนย์ออกแบบในไทยเพราะมั่นใจว่ามีตลาดรองรับ
  3. มาตรการสนับสนุนแบบ "เจาะจงรายกลุ่ม"
    • รัฐจะช่วยเหลือตามความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละธุรกิจ
      • ผู้ประกอบการออกแบบวงจรรวมรายเล็ก: สนับสนุนเงินทุน ซอฟต์แวร์ออกแบบ และค่าทำสินค้าต้นแบบ
      • โรงงานผลิต (Fab): เน้นกลุ่มที่ไทยมีศักยภาพ เช่น ชิ้นส่วนกำลังไฟฟ้าสูง (power devices) เซ็นเซอร์ หรือชิปรุ่นเก่า (28-130 นาโนเมตร) โดยรัฐต้องส่งเสริมการร่วมลงทุน การผลิตคน และมาตรการดึงดูดผู้ผลิตสารเคมี/อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาในประเทศ
  4. ตั้งศูนย์บ่มเพาะบุคลากร (Incubation Center)
    • สร้างศูนย์พัฒนาทักษะเฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมชิปให้กับคนทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักศึกษาจบใหม่ วิศวกร ไปจนถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมแรงงานทักษะสูงให้เพียงพอ และช่วยบ่มเพาะธุรกิจสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นได้จริง

  5. ปฏิรูประบบราชการและวิธีการวัดผล เปลี่ยนวิธีทำงานของภาครัฐให้เป็นแบบ "Team Thailand"
    • วัดผลที่ความสำเร็จจริง: ปรับจากการวัด "จำนวน" แต่สู่การวัดผลลัพธ์ที่ท้าทาย เช่น "มูลค่าเพิ่มในประเทศ" หรือ "จำนวนบริษัทไทยที่ไปแข่งในเวทีโลกได้"
    • สร้างวัฒนธรรมใหม่: บูรณาการทุกหน่วยงานให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกันแบบ Team Thailand โดยมีการกำหนดเป้าหมายร่วม แบ่งบทบาทชัดเจน และติดตามผลลัพธ์และประเมินอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่กล้าทดลอง ยอมรับความเสี่ยง เรียนรู้จากความล้มเหลว พร้อมกันนี้ หน่วยงานนโยบายและหน่วยงานให้ทุนต้องมีความเข้าใจเทคโนโลยีและทิศทางอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง