อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยกำลังเผชิญกับ "วิกฤตเชิงโครงสร้าง" 4 ด้านสำคัญ:
ความน่าสนใจลดลง: นักท่องเที่ยวขาดแรงจูงใจในการกลับมาเที่ยวซ้ำ เนื่องจากขาดจุดขายใหม่ๆ และเผชิญการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน
ท่องเที่ยวกระจุกตัว: รายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 70% กระจุกตัวในเพียง 5 จังหวัดหลัก และยังกระจุกตัวในฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) เนื่องจากพึ่งพาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเป็นหลัก ทำให้รายได้ของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่มั่นคง
ภัยคุกคามจากทุนเทา: ธุรกิจสีเทาและนอมินีต่างชาติเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งจากผู้ประกอบการท้องถิ่น ส่งผลให้เม็ดเงินไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างที่ควรจะเป็น
งบประมาณ "หนักหน้าบ้าน เบาหลังบ้าน": รัฐทุ่มงบประมาณไปกับการโฆษณา (งานหน้าบ้าน) ถึง 78% แต่ละเลยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่ง และแหล่งท่องเที่ยว (งานหลังบ้าน) ทำให้แหล่งท่องเที่ยวเดิมเสื่อมโทรมและเข้าถึงยาก แม้มีการพัฒนาหลังบ้านโดยภาคเอกชน แต่ก็เน้นพัฒนาพื้นที่ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาก จึงยิ่งซ้ำเติมปัญหาการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว
พรรคประชาชนมุ่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวโดยปรับสมดุลระหว่างงานหน้าบ้านกับงานหลังบ้าน
1. เสริมแกร่งอุปทาน (งานหลังบ้าน):
2. เจาะเฉพาะกลุ่ม (งานหน้าบ้าน):
3. บูรณาการการบริหาร:
1. สร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ (Man-Made Destination)
เมกะโปรเจกต์: รัฐบาลลงทุน 5,000–10,000 ล้านบาท เพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-Made Destination) ขนาดใหญ่ อย่างน้อย 5–10 แห่งทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าดำเนินการให้ได้อย่างน้อย 5 แห่งภายใน 4 ปี
เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวในท้องถิ่น: อัดฉีดงบประมาณ 200 ล้านบาทต่อหนึ่งเมืองรอง เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมออกแบบแหล่งท่องเที่ยว Man-Made Destination ที่ตอบโจทย์ความต้องการของท้องถิ่นเอง ตั้งเป้าเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวใน 25 เมืองรอง ภายใน 4 ปี โดยอาจดำเนินการผ่านรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) หรือให้ท้องถิ่นใช้งบประมาณสมทบร่วมด้วย
งานหน้าบ้าน ควบคู่ งานหลังบ้าน:
หลังบ้าน เน้นการปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือสถานที่ที่ทรุดโทรมให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ พร้อมยกระดับโครงสร้างพื้นฐานให้สะอาด เดินทางเข้าถึงสะดวก และมีความปลอดภัย
หน้าบ้าน เน้นการทำกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกเพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะด้าน (Niche Market) อาทิ กลุ่มกีฬา ดนตรี อาหาร การผจญภัย และกลุ่มผู้สูงวัย
2. กวาดล้างทุนเทาและนอมินีในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ
สร้างระบบรับแจ้งเรื่องร้องเรียน เชื่อมโยงฐานข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมที่ดิน กรมสรรพากร บก.ปอศ. ปปง. DSI และกรมการท่องเที่ยว เพื่อแก้ปัญหาการใช้ตัวแทนอำพราง (นอมินี) ในทุกห่วงโซ่ธุรกิจ ตั้งแต่บริษัทนำเที่ยว มัคคุเทศก์ โรงแรม ร้านอาหาร ไปจนถึงสถานบริการ ผับ บาร์ และคาราโอเกะ
มี Dashboard เปิดเผยข้อมูลการทำงานต่อสาธารณะ พร้อมกำหนดกรอบเวลาการปฏิบัติงานที่ชัดเจนเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง จัดลำดับความเสี่ยงของย่านและจังหวัดต่างๆ เพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอย่างเข้มงวดในจุดที่มีความชัดเจนของปัญหา
ตัดวงจรทางการเงิน: ดำเนินการตรวจสอบและอายัดทรัพย์สินประเภทที่ดินหรือบ้านหรู ซึ่งทุนเทาและนอมินีมักนำกำไรจากการประกอบธุรกิจผิดกฎหมายไปถือครองไว้
สร้างบรรทัดฐานใหม่: รัฐไม่ “ปล่อยปละละเลย” แต่พร้อม “เอาจริง” ปราบปรามทั้งทุนต่างชาติสีเทาและกลุ่มคนไทยที่ให้การสนับสนุน
3. สร้าง Smart Tourism ด้วย Super App ระบบดิจิทัลบริหารการท่องเที่ยว
สร้างแพลตฟอร์มท่องเที่ยวแห่งชาติ (Tourism Superapp): เป็นศูนย์กลางบริการดิจิทัลที่ดูแลนักท่องเที่ยวแบบครบวงจรตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง จนถึงหลังเดินทางกลับ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวตลอดการเดินทาง
รวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรม และเทศกาลน่าสนใจแบบเรียลไทม์ พร้อมระบบช่วยวางแผนการเดินทางและแผนที่ที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ ระบบชำระเงินดิจิทัล ระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ
Superapp นี้จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว สร้างความประทับใจ แก้ปัญหาความหนาแน่นในจุดท่องเที่ยวหลัก (Overtourism) และช่วยจูงใจนักท่องเที่ยวให้เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ นอกเหนือจากที่ตั้งใจไว้ กระจายนักท่องเที่ยวไปสู่ชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยมากขึ้น
เป็นการถอดบทเรียนความสำเร็จจากเกาหลีใต้และไต้หวัน
ต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานเดิม: รัฐสามารถสนับสนุนและยกระดับแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ให้ก้าวสู่การเป็น Superapp ได้ทันที เช่น TAGTHAi ที่ดำเนินการในรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม
4. ส่งเสริมการท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)
นักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มมีสัดส่วนการใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่มพักผ่อนทั่วไป (เช่น กลุ่มการจัดประชุมหรือ MICE 20%, กลุ่มกีฬา 27%, กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 49%, กลุ่มการแพทย์ สูงถึง 100%) การมุ่งเน้นตลาดนี้จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มรายได้ต่อหัว โดยมี 3 กิจกรรมหลักที่พร้อมดำเนินการทันที:
จัดงานกีฬา: เน้นการจัดงานที่ลงทุนต่ำแต่ได้ผลตอบแทนสูงและต่อเนื่อง เช่น งานวิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องมือชั้นดีในการกระจายรายได้และดึงดูดนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่เมืองรอง
ส่งเสริมกิจกรรม MICE: ส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาระบบขนส่งสาธารณะ พร้อมเชื่อมโยงกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนและไกด์ท้องถิ่นเข้ากับกลุ่ม MICE
ส่งเสริมกลุ่มการแพทย์: ในฐานะกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงสุด โดยประเทศไทยสร้างแบรนด์การแพทย์ไทยให้เป็นที่จดจำระดับโลก ยกระดับมาตรฐานผู้ประกอบการ Wellness ทั่วประเทศให้มีคุณภาพสากลเพื่อเพิ่มรายได้แก่ผู้ประกอบการ
5. ปฏิรูปงบประมาณและกฎหมาย
จัดเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อนำเงินเข้ากองทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว (ภายใต้ พ.ร.บ. นโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ) คาดการณ์รายได้ปีละ 9,000 ล้านบาท นำไปใช้พัฒนาระบบหลังบ้าน และทำประกันภัยให้นักท่องเที่ยว ลดภาระงบประมาณแผ่นดินในการดูแลเยียวยาอุบัติเหตุ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สามารถดำเนินการได้ภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายนี้
ทบทวนงบท่องเที่ยวที่กระจัดกระจาย จาก 5 ส่วนหลัก (เช่น งบ ททท., งบ อว., งบท้องถิ่น) ซึ่งมีรวมกันกว่าปีละหลักหมื่นล้านบาท แต่ที่ผ่านมาขาดทิศทางร่วมกัน ทำให้การพัฒนาการท่องเที่ยวไม่มีประสิทธิผล ต้องเปลี่ยนให้ทำงานเชิงบูรณาการเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
มีเจ้าภาพตัดสินใจนโยบายและงบประมาณการท่องเที่ยว
ปรับปรุงโครงสร้าง "คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ" โดยให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธาน แทนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การประชุมสม่ำเสมอ และสามารถตัดสินใจใช้งบประมาณจากการเก็บค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด
แก้กฎหมายปลดล็อกศักยภาพท้องถิ่น:
กระจายอำนาจการขนส่ง: รัฐบาลพรรคประชาชนจะเสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ. การขนส่งทางบก (เสนอแล้วในสภาชุดที่ 26 แต่ร่างกฎหมายถูกสภาปัดตก) เพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจจัดการเส้นทางเดินรถในพื้นที่เอง รองรับนักท่องเที่ยวและตอบสนองความต้องการของประชาชน
กฎหมายสนับสนุนผู้ประกอบการ: แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายควบคุมรถเช่า กฎหมายที่พักเท่าเทียม (พรรคประชาชนเสนอแล้วในสภาชุดที่ 26 แต่ยังไม่ได้พิจารณาในที่ประชุมสภา)