อุตสาหกรรมหนังไทยสู่หัวใจเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ยกเลิกเซ็นเซอร์หนัง ปฏิรูปการจัดเรตติ้ง ปรับปรุงสิทธิแรงงานคนกองถ่ายให้มีมาตรฐาน สนับสนุนโรงหนังขนาดเล็กทั่วประเทศ ส่งออกวัฒนธรรมไทยสู่สากลอย่างเป็นระบบ

อุตสาหกรรมหนังไทยสู่หัวใจเศรษฐกิจสร้างสรรค์

ทำไมต้องแก้ปัญหา (WHY)

อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทยที่มีศักยภาพสูงมาก ช่วงเดือนมกราคม-ตุลา่คม ปี 2568 ประเทศไทยสามารถดึงดูดกองถ่ายทำต่างประเทศเข้ามาได้ถึง 451 เรื่อง สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 6,786 ล้านบาท ข้อมูลจากการลงทุนของ สมาคมภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา (MPA) ระหว่างปี 2565-2567 ยังชี้ให้เห็นว่ามีการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในไทยรวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ปัญหาของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประการด้วยกัน 

  • ขาดจากสนับสนุนจากรัฐ: กฎหมายและกฎระเบียบของรัฐเป็นอุปสรรคมากกว่าเป็นกลไกในการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และอุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐที่มากพอ 

  • เสรีภาพที่ถูกจำกัด: ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างความตระหนักรู้และผลักดันสังคมในเชิงบวก แต่ระบบการเซ็นเซอร์และการใช้วิธีคิดด้าน "ความมั่นคง" มากำกับงานศิลปะ ทำให้ภาพยนตร์ไทยมี “เพดาน” ไม่สามารถทำหน้าที่สะท้อนสังคมได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้เนื้อหาขาดความหลากหลายและไม่ดึงดูดใจผู้คน

  • ขาดความมั่นคง: แม้ภาพยนตร์ไทยจะเป็นศูนย์รวมทักษะขั้นสูง (งานภาพ, เสียง, ฉาก) แต่บุคลากรกลับขาดสวัสดิการและมาตรฐานค่าตอบแทนที่ยุติธรรม ความอ่อนแอของระบบนิเวศการทำงานทำให้คนเก่งออกจากอุตสาหกรรม และยากที่จะยกระดับทักษะแรงงานสร้างสรรค์ในภาพรวม

  • โอกาสทางเศรษฐกิจที่หลุดมือ: เรายังไม่มีการเชื่อมโยงความสำเร็จของภาพยนตร์ไทย เข้ากับอุตสาหกรรมอื่นอย่างเป็นระบบ ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการสร้าง "ตัวคูณทางเศรษฐกิจ" เช่น การท่องเที่ยวตามรอย หรือการส่งออกวัฒนธรรมการกินและการใช้ชีวิตแบบไทยสู่สากล เช่นที่เกาหลีใต้ทำได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยจะเป็นจุดหมายปลายทางของการถ่ายทำภาพยนตร์ในระดับโลก แต่ด้วยข้อจำกัด

พรรคประชาชนจะทำอะไร (WHAT)

เราเสนอปฏิรูปอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ครอบคลุม 4 มิติสำคัญ:

  • ปฏิรูปโครงสร้างและกฎหมาย: รวมหน่วยงานที่กระจัดกระจายให้มีเอกภาพ และแก้กฎหมายให้เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์

  • ยกระดับสวัสดิภาพคนทำงาน: กำหนดมาตรฐานสัญญาจ้างและชั่วโมงการทำงานที่ยุติธรรม 

  • วิจัย พัฒนา และสร้างรสนิยม: ใช้เทคโนโลยี AI อย่างเท่าทัน ปฏิรูปการศึกษาศิลปะ เพื่อสร้างฐานผู้ชมที่มีความเปิดกว้างต่องานศิลปะ

  • เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน: ใช้มาตรการภาษีและสร้างแรงจูงใจเพื่อดึงดูดการลงทุนและเปิดตลาดโลก

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม พรรคประชาชนจะดำเนินการผ่านมาตรการดังนี้:

1. การปฏิรูปกฎหมายและโครงสร้างการบริหารงาน

  • รวมศูนย์การทำงาน: ย้ายหน่วยงานด้านภาพยนตร์มาไว้ภายใต้กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเอกภาพในการบริหาร

  • เปลี่ยนแนวคิดรัฐ: เลิกใช้กรอบ "ความมั่นคง" มาจำกัดงานศิลปะ ปรับวิสัยทัศน์กระทรวงให้ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ตามยุคสมัย

  • แก้ไข พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวิดิทัศน์: เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการกำหนดนโยบาย, แก้ไขกระบวนการจัดเรตติ้งให้เป็นสากล, ยกเลิกใบอนุญาตโรงภาพยนตร์ที่ซ้ำซ้อน (ยกเลิกใบอนุญาตกิจการโรงภาพยนตร์ เหลือใบอนุญาตประกอบกิจการโรงมหรสพตามกฎหมายควบคุมอาคาร)

  • แก้ไขกฎหมายลิขสิทธิ์: ปรับปรุง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เพื่อให้นักแสดงและทีมงานผู้ผลิต ได้รับค่าลิขสิทธิ์และรายได้จากการฉายซ้ำ

  • จัดสรรกองทุนสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง

  • แก้ไขกฎหมายภาษี: ปรับปรุง อนุสัญญาภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement) และปรับปรุงภาษีนำเข้าอุปกรณ์ถ่ายทำ ที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน

2. การยกระดับสวัสดิภาพและมาตรฐานการทำงาน

  • สัญญาจ้างมาตรฐาน: กำหนดชั่วโมงทำงานไม่เกิน 12 ชั่วโมง/วัน และต้องมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 10 ชั่วโมงต่อวัน

  • ความปลอดภัยระดับมืออาชีพ: กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยทั้งกายและใจในกองถ่าย โดยเฉพาะฉากอันตราย และต้องมีประกันอุบัติเหตุสำหรับแรงงานกองถ่าย

  • คุ้มครองแรงงานเด็ก: กำหนดให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและผู้ปกครองดูแลในกองถ่ายตลอดเวลาที่ทำงาน

  • เสริมสร้างพลังคนทำงาน: สนับสนุนการรวมกลุ่มเป็นสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ เพื่อให้เกิดอำนาจต่อรอง

3. การวิจัย พัฒนา และสร้างฐานความรู้ศิลปะ

  • รับมือเทคโนโลยีใหม่: กำหนดแนวทางการคุ้มครองด้านลิขสิทธิ์และสิทธิส่วนบุคคลของนักแสดงและทีมงาน จากผลกระทบของการใช้ AI ในภาพยนตร์

  • ปฏิรูปการศึกษาศิลปะ: ปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาศิลปะในการศึกษาภาคบังคับ ให้เป็นการศึกษา “ศิลปะวิจักษณ์” (Art Appreciation) เพื่อให้ประชาชนเข้าใจคุณค่าของงานศิลปะมากขึ้น 

  • สนับสนุนทุน

    • ให้ทุนส่งเสริมงานวิจัยเกี่ยวกับระบบนิเวศของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ งานวิจัยด้านเทคโนโลยีภาพและเสียง งานวิจัยเชิงเศรษฐศาสตร์เพื่อประเมินผลกระทบของนโยบายด้านภาพยนตร์ เพื่อประเมินผลกระทบและวางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างแม่นยำ

    • สนับสนุนงบประมาณให้สถานศึกษาที่เปิดสอนวิชาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วประเทศ

  • โปร่งใสด้วยข้อมูล: กำหนดมาตรฐานในการเปิดเผยข้อมูลรายได้จากการฉายภาพยนตร์ เพื่อใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์นโยบายในอนาคต

4. การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันและการส่งออก

  • เพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ผลิตภาพยนตร์ไทย ทั้งในแง่การลดหย่อนภาษีและการใช้ระบบ Cash Rebate (คืนเงินลงทุน) สำหรับผู้ผลิตที่ลงทุนภายในประเทศ 

  • ใช้มาตรการทางภาษีสนับสนุนโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก ให้เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคเพื่อสร้างทั้งผู้ผลิตหน้าใหม่และเพิ่มความหลากหลายของเนื้อหา นำไปสู่รสนิยมการเสพภาพยนตร์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น

  • ลดปัญหาการผูกขาดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ออกแนวทางและมาตรฐานสำหรับรอบฉายของภาพยนตร์ไทยในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ 

  • เปิดประตูสู่สากล จัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ, Film Market, Workshop, งานประกวดภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นพื้นที่พบปะแลกเปลี่ยนของบุคลากรในอุตสาหกรรม พร้อมงบสนับสนุนและลดอุปสรรคในการส่งออกหนังไทยไปเวทีโลก

  • ความเป็นธรรมในโลกดิจิทัล: เก็บภาษีจากแพลตฟอร์มต่างชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย และใช้ภาษีดังกล่าวกลับมาส่งเสริมวงการภาพยนตร์ในประเทศ 

  • ลดขั้นตอนที่เป็นอุปสรรคในการร้องเรียนคดีความที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ และมอบอำนาจให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ

  • กระจายงบสนับสนุนการผลิตสู่ภูมิภาค เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นสามารถเล่าเรื่องในมุมมองที่หลากหลายยิ่งขึ้น

  • กระตุ้นการบริโภค: ลดหย่อนภาษีเงินได้จากค่าตั๋วชมภาพยนตร์ไทย และสนับสนุนโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กทั่วภูมิภาคเพื่อเพิ่มความหลากหลายของเนื้อหา

  • ควบคุมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง: ดึงบริษัทต่างชาติมาจดทะเบียนในไทย เก็บภาษีแพลตฟอร์ม และออกมาตรการจัดสรรรอบฉายที่เป็นธรรมเพื่อลดการผูกขาดในโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่